เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้วสำหรับการเข้ามาทำตลาดเบียร์สัญชาติไทย 2 ยี่ห้อใหม่ล่าสุด 'คาราบาว' และ 'ตะวันแดง' ภายใต้กลุ่มบริษัท คาราบาว กรุ๊ป ที่มี 'เสถียร เสถียรธรรม' นายใหญ่ผู้กุมบังเหียนองค์กร
จากเมื่อกลางเดือน กันยายน ปีนี้ที่ผ่านมา 'เสถียร เสถียรธรรม' ประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน)' บอกเล่าแนวคิด เหตุผลของการทำตลาดเบียร์ ทั้ง2 ยี่ห้อใหม่ ภายใต้บริษัท คาราบาว ตะวันแดง เบเวอเรจ เพื่อเจาะตลาดเบียร์ที่มีมูลค่ารวมไม่ต่ำกว่า 2.6 แสนล้านบาท ผ่าน คลิป วิดีโอ ที่ปล่อยออกมาเรียกน้ำย่อยพร้อมชิมลางตลาด ไปก่อนหน้านี้
ความน่าสนใจอยู่ที่ ตลาดเบียร์กว่า 2.6 แสนล้านบาทนี้ มีผู้เล่นรายใหญ่ทั้งในและต่างประเทศ อย่างกลุ่ม บุญรอดบริวเวอรี ของตระกูล 'ภิรมย์ภักดี' ในพอร์ตผลิตภัณฑ์ตราสิงห์ และ กลุ่มไทยเบฟเวอเรจ ของตระกูล 'สิริวัฒนภักดี' พอร์ตสินค้าตราช้าง
ทั้งนี้ ยังไม่นับรวม เบียร์ต่างชาติยี่ห้ออื่นๆ อย่าง ไฮเนเก้น, บัดด์ไวเซอร์, โฮ การ์เด้น, กินเนสส์ ฯลฯ ที่อยู่ในตลาด และครองใจสายดื่มชาวไทย มาเนิ่นน่าน
ดังนั้น การเข้ามาของเบียร์2 ยี่ห้อน้องใหม่ในตลาดที่มีเจ้าถิ่นปักหลักอยู่ก่อนหน้า จึงเป็นความท้าทายอย่างมาก
จากคำบอกเล่าของ 'เสถียร' ต่อแนวทางการทำตลาดสินค้าใหม่ทั้ง2 ยี่ห้อนี้ จะใช้จุดเด่นแรก จากความมีชื่อเสียงและความแข็งแกร่งของแบรนดิง 'คาราบาว' และ 'ตะวันแดง' ที่ผู้บริโภคชาวไทยรู้จักเป็นอย่างดี มาช้านาน
ขณะเดียวกันยังจะสร้างความต่างด้วย 5 รสชาติ ของสูตรเบียร์มาตรฐานเยอรมันแบบเดียวกับที่ผลิตเบียร์สดในโรงเบียร์เยอรมันตะวันแดง ทุกสาขา ที่นำมาเสิร์ฟให้กับเหล่านักดื่มจนติดใจในรสชาติมานานกว่า 20 ปี
ประกอบด้วยสูตรเบียร์ ดังคุล และลาเกอร์ เพื่อทำตลาดผลิตภัณฑ์เบียร์ 'คาราบาว' ส่วน ไวเซ่น ไอพีเอ (India Pale Ale) และ โรเซ่ (Rose') จะใช้แบรนด์เบียร์ตะวันแดงทำตลาด
โดยสินค้าวางราคาขายปลีก เบียร์ตะวันแดง แบบกระป๋องขนาดบรรจุกระป๋อง 370 มล. ราคา 45 บาท และขนาดบรรจุ 490 มล. ราคา 60 ส่วนเบียร์คาราบาว แบบบรรจุขวด ราคา 60 บาท
ขณะที่ ช่องทางขาย ก็มีส่วนสำคัญที่จะช่วยผลักดันให้สินค้าเบียร์ เป็นที่รู้จักในกลุ่มเป้าหมายในวงกว้างได้มากขึ้น โดยบริษัท จะทำตลาดเบียร์ทั้ง2 ยี่ห้อ ใน ช่องทางหลักทั้ง 5 รสชาติ ด้วยกลยุทธ์กระจายสินค้าในเครือข่ายของกลุ่มคาราบาว
ได้แก่ ซีเจมอร์ กว่า 1,000 สาขาทั่วประเทศ ร้านถูกดี มีมาตรฐาน กว่า 5,000 ร้านค้าทั่วประเทศ และหน่วยรถในศูนย์กระจายสินค้าทั้ง 13 แห่ง ที่สามารถเข้าถึงร้านค้าปลีกทั่วประเทศ รวมถึงช่องทางโมเดิร์นเทรด และทราดิชันแนลเทรด
ขณะเดียวกันในโอกาสเปิดตัวสินค้าเบียร์ทั้งสองยี่ห้อใหม่ บริษัทยังได้ ปรับโครงสร้างกระจายสินค้าในเครือใหม่ทั้งหมด ด้วยการกระจายสินค้าสู่ ตัวแทนจำหน่ายระดับอำเภอทั่วประเทศ โดยตรง เพื่อลดขั้นตอนการกระจายสินค้า เพื่อลดขั้นตอนการกระจายสินค้า ทำให้เข้าถึงร้านค้าย่อยหรือโชห่วยทั่วประเทศ เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ในช่วง 'เฟสทีฟ' ส่งท้ายปีเก่า 2566 พร้อมต้อนรับปีใหม่ 2567 ที่กำลังจะมาถึงในเร็วๆนี้ 'เสถียร' บอกว่า เป็นจังหวะสำคัญต่อการเปิดตัวสินค้าเพื่อแนะนำให้ตลาดได้รู้จักไปพร้อมกันด้วย
พร้อมใช้กลยุทธ์สำคัญ เพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์สินค้าใหม่ในตลาดเบียร์ คือ การตัดสินใจต่อสัญญาเป็นผู้สนับสนุนหลักการแข่งขันฟุตบอล Carabao Cup ต่อไปอีก 3 ปี กับ English Football League (EFL) จากเดิมจะสิ้นสุดในปี 2567
โดยจะทำให้คาราบาวเป็นสปอนเซอร์หลักฟุตบอลลีกดังกล่าวไปถึงปี 2570 ซึ่งถือว่ายาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ ของ EFL และยังเป็นการสานต่อกลยุทธ์สปอร์ต มาร์เก็ตติง ระดับโลก
ด้วยแคมเปญใหญ่ เครื่องดื่มคาราบาวพาทุกคนไป สัมผัสประสบการณ์ระดับโลก เชียร์บอล เชียร์บาว กับการชมฟุตบอลระดับโลกติดขอบสนาม ร่วมลุ้นเป็นผู้โชคดีบินลัดฟ้าสู่ประเทศอังกฤษ ชมศึก Carabao Cup ฤดูกาล 2023/2024 รอบชิงชนะเลิศ ด้วย
โดยทั้งหมดนี้ ถือเป็นส่วนผสมหลัก เข้ามาช่วยเบลนด์การทำตลาด เบียร์ทั้ง2ยี่ห้อนี้ ให้มีความกลมกล่อมยิ่งขึ้น เพื่อเข้าไปชิงส่วนแบ่งทางตลาดเบียร์รวมมูลค่ากว่า 2.6 แสนล้านบาท ในทุกเซ็กเมนต์ทั้ง อีโคโนโนมี ที่มีสัดส่วน 75% กลุ่มสแตนดาร์ด สัดส่วน 20% และกลุ่มพรีเมียมสัดส่วน 5%
ด้วยภายใน 2-3 ปี นับจากทำตลาดเบียร์ คาราบาว และ ตะวันแดง แล้ว 'เสถียร' บอกว่าจะเป็น หัวรถจักรสำคัญที่จะพาสินค้ากลุ่มแอลกอฮฮล์ในเครือบริษัทให้เติบโตไปด้วย
โดยปัจจุบันตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในไทยมีมูลค่ารวมกว่า 500,000 ล้านบาท และพร้อมเป็นแกนนำให้ธุรกิจอื่นๆ ในเครือคาราบาวเติบโตมากขึ้นไปอีก
พร้อมวางเป้าหมาย ขึ้นสู่การเป็นผู้นำตลาดเบียร์ด้วยส่วนแบ่งการตลาดรวมกันกว่า 30% และมั่นใจว่าในปี2567 จะมีส่วนแบ่งตลาดรวมกันไม่ต่ำกว่า 10% อย่างแน่นอน
จากปัจจุบันสินค้าเบียร์ มีโรงงานผลิตในชื่อ บริษัทโรงเบียร์ ตะวันแดง 1998 จำกัด ตั้งอยู่ในจังหวัดชัยนาท มีกำลังการผลิตประมาณ 400 ล้านลิตร นำร่องผลิตช่วงแรก 200 ล้านลิตร ภายใต้งบลงทุนรวมกว่า 4,000 ล้านบาท
พร้อมใช้งบลงทุนเพิ่มอีกราว 1,000 ล้านบาทในเฟสต่อไป เพื่อขยายกำลังการผลิตสินค้าเพิ่ม เพื่อรองรับการทำตลาดทั้งในและต่างประเทศ ตามแผนที่วางไว้ในอนาคต