ธนาคารโลก คาดการณ์เติบโตทางเศรษฐกิจไทย เพิ่มขึ้นจาก 2.5% ในปี66 เป็น 3.2% ในปี 67 จากปัจจัยการฟื้นตัว ท่องเที่ยว-ส่งออกสินค้า-บริโภคภาคเอกชนที่มั่นคง
รายงานระบุว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจในปี พ.ศ. 2566 ได้รับผลกระทบจากการหดตัวของการส่งออกสินค้าและการลดการใช้จ่ายภาครัฐ แต่คาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวได้มากขึ้นในระดับปานกลางที่ร้อยละ 3.1 ในปี พ.ศ. 2568
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปคาดว่าจะชะลอตัวลงสู่ร้อยละ 1.1 ในปี พ.ศ. 2567 เนื่องจากราคาพลังงานที่ลดลง อย่างไรก็ตาม คาดว่าราคาอาหารจะเพิ่มขึ้น
โครงการเติมเงินผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท ที่มีการวางแผนไว้ซึ่งมูลค่าโครงการคิดเป็นประมาณร้อยละ 2.7 ของ GDP โดยหากมีการดำเนินโครงการคาดว่าจะสามารถกระตุ้นการเติบโตในระยะสั้นได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 ถึงร้อยละ 1 ของ GDP ในช่วงระยะเวลาระหว่างปี พ.ศ. 2567 และ 2568
แต่จะส่งผลให้การขาดดุลทางการคลังอาจเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 4 ถึงร้อยละ 5 ของ GDP ในขณะที่หนี้สาธารณะอาจเพิ่มสูงขึ้นถึงร้อยละ 65 ถึงร้อยละ 66 ของ GDP
ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่รุนแรงขึ้นและราคาน้ำมันที่สูงอาจทำให้ประเทศไทยเข้าสู่ภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นอีกครั้ง เนื่องจากประเทศไทยมีการพึ่งพาการนำเข้าพลังงานสูงกลายเป็นความเสี่ยงด้านลบต่อแนวโน้มทางเศรษฐกิจ การก้าวไปสู่เส้นทางการเติบโตแบบคาร์บอนต่ำจะสามารถช่วยสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน ลดการเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อม และทำให้ประเทศไทยเป็นผู้นำระดับภูมิภาคในด้านการเติบโตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและยั่งยืน
บทความพิเศษของรายงานพบว่าการกำหนดราคาคาร์บอน ไม่ว่าจะผ่านภาษีคาร์บอนหรือระบบซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมีความสำคัญอย่างยิ่งในการบรรลุเป้าหมายอันทะเยอทะยานในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ประเทศไทยอาจใช้การกำหนดราคาคาร์บอนมากขึ้นเพื่อรักษาระดับการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
แต่จะต้องมีมาตรการเพิ่มเติมหรือราคาคาร์บอนที่สูงมากเพื่อลดการปล่อยก๊าซ ตัวอย่างมาตรการเพิ่มเติม เช่น การสร้างโครงสร้างพื้นฐานของรถยนต์ไฟฟ้าหรือการฝึกอบรมการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ สามารถเร่งการนำเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำมาใช้ได้
ฟาบริซิโอ ซาร์โคเน ผู้จัดการธนาคารโลกประจำประเทศไทย กล่าวว่า ประเทศไทยได้ตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนในการบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี พ.ศ. 2608 และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงร้อยละ 30 ภายในปี พ.ศ. 2573”
ในขณะที่ประเทศไทยได้มีการแก้ไขพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในปี พ.ศ. 2567 หากประเทศไทยต้องการบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน การกำหนดราคาคาร์บอนจะต้องถูกพิจารณาเป็นเครื่องมือเชิงนโยบายที่สำคัญ
มลพิษทางอากาศเป็นปัญหาสำคัญทางเศรษฐกิจและสาธารณสุขของประเทศไทย การลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลและการกำหนดราคาคาร์บอนจะช่วยปรับปรุงคุณภาพอากาศในเมือง ส่งผลให้อัตราการเจ็บป่วยลดลง ในปี พ.ศ. 2562 ความเสียหายต่อสุขภาพที่มาจากการสัมผัสมลพิษ PM2.5 ทำให้ประเทศไทยเกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจประมาณร้อยละ 6 ของ GDP
รายได้ที่เกิดจากการกำหนดราคาคาร์บอนสามารถนำไปใช้เป็นเงินทุนสนับสนุนนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศอื่นๆ หรือเพื่อสนับสนุนการใช้จ่ายสาธารณะ ตัวอย่างเช่น ราคาคาร์บอนอาจช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุขของประเทศไทย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการใช้งบประมาณสนับสนุนจากภาครัฐ
ประเทศไทยได้ดำเนินนโยบายหลายประการเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน และได้ดำเนินการขั้นแรกเพื่อใช้การกำหนดราคาคาร์บอนอย่างครอบคลุม การซื้อ-ขายการปล่อยก๊าซภาคสมัครใจได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558 นโยบายเหล่านี้แม้จะช่วยจำกัดการเติบโตของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอนาคต แต่ประเทศไทยจำเป็นต้องมีความทะเยอทะยานเชิงนโยบายเพิ่มขึ้นเพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายในปัจจุบัน