ส.อ.ท.ชี้รัฐซื้อไฟจากเอกชนมากเกิน Demand เสนอรื้อโครงสร้างกำลังผลิต เพิ่มสัดส่วนโรงไฟฟ้าสะอาดต้นทุนต่ำ ย้ำค่าไฟงวดใหม่ต้องไม่เกิน 5 บาทต่อหน่วย
นายอิศเรศ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ปัญหาค่าไฟฟ้าที่หมักหมมมานาน ต้องได้รับการแก้ไข เพื่อความเป็นธรรมในสังคมและขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ จากปัญหาการขึ้นราคาค่าไฟฟ้า อย่างรุนแรง ตั้งแต่กลางปี 2565 จนถึงต้นปีนี้ ทำให้ทุกภาคส่วน ทั้งประชาชนและ ภาคธุรกิจ เริ่มหันมามองปัญหาค่าไฟฟ้าและต้นทุนพลังงานบ้านเราอย่างจริงจัง
ทั้งนี้จากการลงไปศึกษาอย่างละเอียดเราจึงได้เห็นปัญหาที่หมักหมมมานาน ทั้งจากนโยบายด้านพลังงาน และการจัดการเรื่องไฟฟ้า, การผูกขาด กระจุกตัว ของผู้ผลิต และผู้จัดจำหน่าย, การละเลยผลประโยชน์ของประชาชนในประเทศ ตลอดจนข้อสงสัยในการเอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มทุนบางราย ซึ่งนอกจากส่งผลต่อภาระค่าครองชีพ ของประชาชนทุกภาคส่วน
ตลอดจนภาวะเงินเฟ้อของประเทศแล้ว ยังจะส่งผลต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศด้วย ทั้งในด้านการส่งออก รวมถึงเป็นอุปสรรคต่อการตัดสินใจในการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ โดยปัญหาเหล่านี้จึงควรได้รับการหยิบยกขึ้นมาหารืออย่างจริงจังจากผู้รับผิดชอบ และลงมือ แก้ไขทั้งในระยะสั้นเร่งด่วนระยะกลาง รวมถึงการปฏิรูปในระยะยาวจากนี้ไป
ทั้งนี้ต้องยอมรับว่าสาเหตุที่ทำให้ค่าไฟฟ้าของไทยสูงกว่าประเทศอื่น คือ1.พึ่งพาการใช้ก๊าซธรรมชาติในการผลิตไฟฟ้ามาเกินไป รวมทั้งการขาดแผนสำรองที่ดี ในการบริหารก๊าซฯในอ่าวไทยที่ลดน้อยลง ขณะที่ยังใช้ระบบการซื้อไฟฟ้า แบบ Cost Plus จากพลังงานฟอสซิล
2.การให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) รับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าเอกชนในสัดส่วนที่สูงจนเกินไป รวมทั้งเงื่อนไขในสัญญาที่มี Margin สูง รวมทั้งผลักภาระไปในค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ(เอฟที) อย่างไม่เหมาะสม
3.Supply ของโรงไฟฟ้ามากกว่า Demand ถึง 54% จากปกติควรอยู่ที 15% เพราะเป็นภาระต้นทุนของประเทศในระยะยาว (จ่ายค่าความพร้อมจ่ายหรือ AP และการเดินโรงไฟฟ้าที่ไม่เต็มกำลังการผลิตจะมีต้นทุนที่สูง) และคาดการณ์ Demand สูงเกินไป
รวมถึงการซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าเอกชนมากเกินความจำเป็น จนทำให้โรงไฟฟ้าเอกชนมีสัดส่วนกำลังการผลิตไฟฟ้ามากเกินไปเมื่อเทียบกับสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าของกฟผ.ที่ลดลง (กฟผ. 32%, IPP 31%, SPP 17%, นำเข้าและแลกเปลี่ยน 12% และ VSPP 8%) ซึ่งทำให้ค่าไฟฟ้าแพงขึ้น จากค่า AP (จ่าย IPP) และ ค่า CP (จ่าย SPP) ตามสัญญาเสือนอนกินที่ยังไม่มีใครแก้ไข
นอกจากนี้กฟผ.ยังแบกรับภาระหนี้ค่าไฟฟ้าเพียงรายเดียว (จากการเป็นรัฐวิสาหกิจ ที่ต้องแบกภาระช่วยกลุ่มเปราะบางตามนโยบายภาครัฐ) เกินกำลังที่มีอยู่ จนขาดสภาพคล่อง
ขณะที่ภาครัฐไม่สามารถบังคับให้โรงไฟฟ้าเอกชนช่วยได้ ทั้งๆที่มี มีกำไรสูงมาก โดยประชาชน และภาคธุรกิจจ่ายค่าไฟฟ้าแพง เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน
นายอิสเรศ กล่าวว่า ปัญหาค่าไฟฟ้า มี 4 คำถามที่ต้องการคำตอบจากผู้รับผิดชอบ คือ ช่วง 1.ช่วงที่ราคาก๊าซธรรมชาติเหลว( LNG ) แพงทำไมไม่เดินโรงไฟฟ้าที่ถูกกว่า และมีกำลังการผลิตเหลือให้เต็มที่ เช่น โรงไฟฟ้าจากดีเซล, Biogas, Biomass ควรใช้หลัก Incremental Cost
2.การที่ประเทศไทย ต้องไปแย่งซื้อ LNG ช่วง Peak demand ทำให้เราจ่ายแพงไปหรือไม่ 3.ทำไม ไม่รีบปลดล็อค พลังงานแสงอาทิตย์ และ4.การจัดสรรก๊าซฯในอ่าวไทย เหมาะสม และเป็นธรรม หรือไม่
อย่างไรก็ตาม เหตุผลที่ค่าไฟงวดหน้า (พ.ค.-ส.ค. ไม่ควรเกินหน่วยละ 5 บาท เนื่องจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นร่วม 15% ค่าพลังงานทั้งดีเซล อื่นๆ และ LNG ที่ต่ำลง ขณะที่ปริมาณก๊าซฯ ในอ่าวไทย ซึ่งมีราคาถูก มีจำนวนมากขึ้นตามลำดับ โดยในระยะกลางถึงระยะยาว ต้องปรับโครงสร้างกำลังการผลิต และต้นทุนของโรงไฟฟ้าเอกชน ชะลอการขยายโรงไฟฟ้าประเภทฟอสซิล เพื่อลดกำลังการผลิตส่วนเกิน เน้นการเพิ่มโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ต้นทุนต่ำ ด้วยความโปร่งใสและเป็นธรรม โดยพิจารณาซื้อโรงไฟฟ้าเอกชน มาเป็นของภาครัฐ จากค่า AP ที่จ่ายไป หรือ ทบทวนค่า AP/CP ให้เหมาะสม