‘ท็อป’ ยุทธชัย จรณะจิตต์ กรุ๊ป ซีอีโอ ‘อิตัลไทย’ มองไทยปี67 ธุรกิจกลับมาลงทุนปลายปี หลังดอกเบี้ยคลี่คลาย

‘ท็อป’ ยุทธชัย จรณะจิตต์  กรุ๊ป ซีอีโอ ‘อิตัลไทย’ มองไทยปี67  ธุรกิจกลับมาลงทุนปลายปี หลังดอกเบี้ยคลี่คลาย
‘ท็อป-ยุทธชัย’ ซีอีโอกลุ่มบริษัทอิตัลไทย มองปี 2567 เน้นวางแผนพักการลงทุนรอจังหวะดอกเบี้ยคลี่คลายปลายปีหน้า ภาคก่อสร้างฯอสังหาโรงงานโตแซงที่อยู่อาศัย กลุ่ม ‘ฮอสพิทาลิตีฯ’ จะเป็น Growth Engine อนาคต

ท็อป-ยุทธชัย จรณะจิตต์ วัย 45 ปี ในฐานะทายาทรุ่นที่ 3 Group CEO, กลุ่มบริษัทอิตัลไทย อีกหนึ่งเอกชนรายใหญ่ของไทยในภาคอุตสาหกรรมการก่อสร้าง และอุตสาหกรรมบริการ (ฮอสพิทาลิตี) เผยมุมมองแนวโน้มเศรษฐกิจในปี 2567 ว่ายังเป็นปีต้องจับตาการลงทุนก่อน แต่ยังมองหาโอกาสใหม่ๆให้กับธุรกิจในกลุ่ม ได้อย่างน่าสนใจ

ด้วยจากนี้ไปนิยาม ‘อิตัลไทย’ จะไม่ใช่แค่ก่อสร้างแล้ว แต่จะมีธุรกิจที่เกี่ยวข้องกันในแต่ละอุตสาหกรรมที่สอดรับระหว่างกัน ทั้งธุรกิจฮอสพิทาลิตี และไลฟ์สไตล์ ที่จะเป็นส่วนหนึ่งของ “Growth Engine ประเทศไทย” ที่จะต้องมีความต่อเนื่องสร้างการเติบโตระยะต่อไป ในอนาคต 

กลุ่มอิตัลไทย มูลค่ากว่า สองหมื่นล้านบาท

ท็อป บอกว่า ปัจจุบัน กลุ่มอิตัลไทยแบ่งการดำเนินธุรกิจ 2 กลุ่มหลัก คือ

1. กลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมเครื่องจักรกลหนัก และธุรกิจผู้รับเหมางานวิศวกรรมและก่อสร้างแบบครบวงจร ประกอบด้วย บริษัท อิตัลไทยอุตสาหกรรม จำกัด และบริษัท อิตัลไทยวิศวกรรม จำกัด

2. กลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมบริการ และไลฟ์สไตล์ ประกอบด้วย ออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป (ONYX) ธุรกิจบริหารจัดการโรงแรม รีสอร์ท และเซอร์วิส อพาร์ตเมนท์ โดยมีแบรนด์ในเครือ อาทิ  อมารี โอโซ่ ชามา และโอเรียนเต็ล เรสซิเดนซ์

นอกจากนี้ในกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมบริการและไลฟ์สไตล์ ยังมี ศูนย์การค้าริเวอร์ซิตี้ แบงค็อก ศูนย์การค้าและพื้นที่จัดแสดงด้านอาร์ตแอนแอด์ทีค ริมน้ำเจ้าพระยา และบริษัท อิตัลไทยฮอสพิทาลิตี้ จำกัด ผู้นำเข้าเครื่องดื่มไวน์ และน้ำแร่ระดับพรีเมี่ยม รวมถึงธุรกิจโรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพ

รวมถึง เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำผลไม้ภายใต้แบรนด์เอซีเฟรช และผู้ดำเนินธุรกิจแฟรนไชส์และจัดจำหน่ายแบรนด์ TWG Tea ธุรกิจบริการจัดเลี้ยง ธุรกิจเบเกอรี่ และธุรกิจซักรีด

โดยทั้งหมด สร้างรายได้รวมไม่ต่ำกว่าหลักสองหมื่นล้านบาทต่อปี

2567 ปีแห่งการวางแผน

จากภาพธุรกิจทั้งหมด ‘ท็อป’ บอกว่าในปี 2567 จะเป็นปีแห่งการบริหารจัดการวางแผนทางธุรกิจต่างๆในกลุ่มให้สอดคล้องระหว่างกันมากกว่าการลงทุนธุรกิจ จากสถานการณ์ดอกเบี้ยขาขึ้นที่คาดว่าจะยังแรงอยู่ในช่วงต้นปีไปจนถึงกลางปีหน้า และอาจเริ่มคลี่คลายในช่วงปลายปี 2567 ซึ่งมองว่าเป็นจังหวะที่ดีต่อการขยายการลงทุนมากกว่า

ขณะเดียวกัน ยังสอดคล้องกับการลงทุนภาพรวมอุตสาหกรรมก่อสร้างอีกด้วย โดยภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัยคาดว่าจะชะลอตัว ขณะที่อสังหาฯก่อสร้างโรงงานจะมีแนวโน้มเติบโตมากกว่า ทั้งกลุ่มอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า (EV) แบตเตอรีรถยนต์อีวี ค่ายจีนแบรนด์ต่างๆ ที่เข้ามาลงทุนในไทย รวมไปถึงอุตสาหกรรมสินค้าอาหารแบรนด์ใหญ่จากต่างประเทศ เคลล็อกส์ (Kellogg) ที่เตรียมเข้ามาลงทุนก่อสร้างฐานการผลิตสินค้าในไทย ด้วยเช่นกัน

“หลังเปิดประเทศเริ่มมีงานก่อสร้างทะลักออกมาจากช่วงโควิด และเชื่อว่าราวไตรมาสสองปีหน้างานจะออกมามากขึ้นจาก รัฐบาล ภาคเอกชนทั้งของไทยและต่างประเทศ แต่เอกชนอาจจะยังไม่กล้าลงทุนมากนักทำให้โปรเจกต์เลื่อนออกไปครึ่งปีหลัง ด้วยต้องรอดูอัตราดอกเบี้ยที่ยังสูงอยู่มากในตอนนี้”   

ท็อป เล่าถึงบรรยากาศการเข้ามาของทุนต่างชาติในภาคก่อสร้าง ในเวลานี้อย่างกลุ่มทุนจีนจะเข้ามาในรูปแบบค่อนข้างครบวงจร ทั้งนำแรงงานเข้ามาเองเกือบทั้งหมดพร้อมสร้างหอพักให้อยู่อาศัย จนเป็นภาพชุมชนก่อสร้างชาวจีนทีเห็นได้ไม่น้อยในย่านปลวกแดง จังหวัดระยอง ขณะที่นักลงทุนจากประเทศตะวันตก จะใช้ผู้รับเหมาจากท้องถิ่นในไทย เป็นหลัก

ล่าสุด กลุ่มบริษัทอิตัลไทย ได้งานก่อสร้างมูลค่ากว่า 2,000-3,000 ล้านบาท ทำโรงงานแว่นตาและเลนส์ ของผู้ผลิตรายใหญ่ประเทศอิตาลี ที่ย้ายฐานผลิตจากจีนมายังไทย ซึ่งจะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 10 เดือน

พร้อมมองต่อในครึ่งหลังปี  2567 ภาคอุตสาหกรรมก่อสร้าง น่าจะกลับมาคึกคักระดับหนึ่ง รวมไปถึงการเร่งมือก่อสร้างโครงการ แบง ค็อก มอลล์ ( Bangkok Mall ) ศูนย์การค้าแห่งใหม่ระดับเวริลด์ คลาส บนพื้นที่ 100 ไร่ มูลค่าการลงทุน 50,000 ล้านบาท ของ เดอะมอลล์กรุ๊ป ทำเลย่านบานา เพื่อเตรียมเปิดให้ทัน ในปีหน้า 

ONYX สู่ผู้นำตลาดระดับภูมิภาค  

ท็อป บอกว่าสำหรับ บริษัท ออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ ONYX ในปี 2567 มีแผนขยายธุรกิจโรงแรมสาขาใหม่ๆหลายแห่งทั้งในประเทศ และ ต่างประเทศ อาทิ

โคลัมโบ ศรีลังกา เวียงจันทน์ ซึ่งในทำเลหลัง เตรียมเปิด ‘อมารี เวียงจันทน์’ (Amari Vientiane) ซึ่งจะเป็นโรงแรมที่ใหญ่สูดในเวียงจันทร์ ส่วนแบรนด์ชามา (Shama) วางแผนขยายการให้บริการห้องที่พักอาศัยรูปแบบเซอร์วิส อพาร์ทเมนต์ ทั้งหมด ซึ่งได้ปักหมุดที่ ฮ่องกง และ ปีนัง ประเทศมาเลเซีย

นอกจากนี้  ONYX ยังจะเน้นสร้างความเคลื่อนไหวให้กับแบรนด์ธุรกิจต่างๆ อย่างแบรนด์โรงแรมโอโซ่ (Ozo) วางตำแหน่งเป็นที่พักในรูปแบบ Mix Scale ปัจจุบันเปิดให้บริการใน พัทยา สมุย ภูเก็ต จอร์ช ทาวน์ (ปีนัง) และในปี 2567 เตรียมเปิดอีกหนึ่งแห่งเพิ่มในมาเลเซีย พร้อมมีแผนสร้างโรงแรมโอโซ่ ที่กรุงเทพฯ อีกด้วย

จากแผนดังกล่าว เพื่อต้องการให้ ONYX  ซึ่งเป็นบริษัทสัญชาติไทย ไปสู่การเป็น ‘Medium Hospitality Group’ ผู้นำอุตสาหกรรมบริการไลฟ์สไตล์รายกลางระดับเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยยุทธศาสตร์ด้านทำเล ดังนี้

  • ฮ่องกง และ จีน ด้วยพอร์ตโฟลิโอธุรกิจใหญ่ที่สุด ด้านเซอร์วิส อาร์ตเมนต์
  • ไทย ลาว มาเลเซีย และอินเดีย โอเชียน มัลดีฟส์ ศรีลังกา บังคลาเทศ จะให้บริการธุรกิจโรงแรมครบวงจร (Full Service Hotel)

“ ONYX วางเป้าหมายสู่การเป็นแถวหน้าของตลาดระดับภูมิภาค เพื่อรองรับการขยายกลุ่มลูกค้าพักผ่อนระยะยาวในอนาคต แต่การเติบโตของเราอาจจะไม่ปรูดปราดเหมือนกับเชนแบรนด์ใหญ่ แต่หากใครจะเข้ามาในตลาดเซาต์ อีสต์ เอเชีย เราก็จะเป็นคู่แข่งจากแบรนด์ต่าง ๆ ที่มีอยู่ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย”

ปัจจุบันธุรกิจที่พักโรงแรมในเครือ ONYX มีมากกว่า 9,000 ห้องพักจาก 45 พร๊อพเพอร์ตี้ทั้งในและต่างประเทศ พร้อมวางแผนขยายแบรนด์โอเรียนเต็ล เรสซิเดนซ์ กรุงเทพฯ เพิ่มเติมในทำเลจังหวัดภูเก็ตในอนาคต เช่นกัน

นอกจากนี้ ในปี 2567 โรงแรมอมารี ในไทยยังเตรียมความเคลื่อนไหวแบรนด์ครั้งใหญ่ โดยจะเปลี่ยนชื่อใหม่อย่างเป็นทางการ 'อมารี กรุงเทพฯ' (Amari Bangkok) ในเดือนเมษายน ปีหน้า จากเดิมได้ใช้ชื่อ 'อมารี วอเตอร์ เกท' (Amari Water Gate) มานานกว่า 30 ปี รวมถึงเตรียมฉลองใหญ่ครบรอบ 40 ปี โรงแรม อมารี ดอนเมือง ในช่วงต้นปีหน้า ด้วยเช่นกัน

สำหรับธุรกิจบริการสปาแบรนด์ MAAI SPA และ BREEZE SPA วางแผนจะขายการให้บริการไปยังรีสอร์ต พร๊อพเพอร์ตีต่างๆในเครือ ONYX มากขึ้น รวมถึงธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่ม (F&B) เช่นกัน

ขณะเดียวกัน ONYX ยังเตรียมเปิดตัวธุรกิจร้านอาหารแบรนด์ใหม่ ‘ชมศรี’ ร้านอาหารไทยภายใต้แนวคิด Sustain Seafood ร่วมกับ เชฟป้อม - พัชรา พิระภาค เชฟระดับดาวมิชลิน ประจำห้องอาหาร เทอเรซ ริมน้ำ โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ  เปิดตัวอีกหนึ่งร้านอาหารแบรนด์ใหม่ตำรับภาคใต้ (Southern Cusine) ในรูปแบบ Fine Dining  ซึ่งจะเปิดตัวในช่วงเดียวกับการรีแบรนด์ อมารี วอเตอ เกท สู่ อามารี กรุงเทพ ในวันที่ 26 เมษายน 2567

“หลังผ่านพ้นช่วงโควิดมา ONYX ทำได้ดี จนถึงในตอนนี้มียอดอัตราการเข้าจองที่พักเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 75% ของทุกพร๊อพเพอเพอร์ตี และมีรายได้กลับมาครอบคลุมในช่วงก่อนโควิดแล้ว” ท็อป ย้ำภาพความสำเร็จให้เห็นชัดขึ้น

พร้อมกล่าวต่อว่า จากนี้ไป ONYX ยังจะขยายธุรกิจให้สอดคล้องกันอย่างมีกลยุทธ์ เพื่อสร้างแบรนด์ที่เป็นของคนไทยให้เป็นที่รู้จักทั้งในและต่างประเทศในระดับมาตรฐสานสากล ว่า

“คนไทยมีโกลบอล สแตนดาร์ด และทำงานได้เท่ากับฝรั่ง หรือ ดีกว่า ซึ่งได้พิสูจน์ความสำเร็จมาแล้วจากช่วงโควิดที่ผ่านมา”

นอกจากนี้ ONYX ยังจะไปต่อถึงความครบวงจรในการให้บริการด้านเอฟแอนด์บีมากขึ้น ทั้งบริการรับจัดเลี้ยง ONYX Catering ด้วยการลงทุนด้านอาร์แอนด์ดี โดยจะร่วมกับ (Collaboration) สถาบันโรงเรียนทำอาหารต่างๆ ทั่วประเทศ จากนั้นจะสร้างให้เป็นรูปแบบของตัวเองขึ้นมา ที่มีความเหมาะสมในแต่ละแบรนด์ที่พัฒนาขึ้นพร้อมสร้างบุคคลากรคนรุ่นใหม่ในสายงานนี้ ให้ เติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืน

ซึ่ง ONYX จะไม่ได้เป็นเพียงผู้บริหารจัดหารให้บริการด้านโรงแรม ที่พักอาศัย เท่านั้น แต่จะวางบทบาทสู่การเป็นผู้ดำเนินแบบครบวงจรทั้งบรรยากาศ แหล่งการเรียนรู้ ในระดับมาตรฐานสากล

ทั้งนี้เพื่อสอดคล้องต่อการสร้างการเติบโต ‘Growth Engine’ ต่อไปของกลุ่มอิตัลไทย ในอนาคต