NRF ขยายธุรกิจใหม่ ‘แบมบู ซูเปอร์มาร์เก็ตเอเชีย’ นำร่องในอังกฤษปูทางเข้าตลาดยุโรป มุ่งสู่แพลตฟอร์มเพื่อผู้ส่งออกไทย กลยุทธ์พาแบรนด์แกร่งระดับโลก
บริษัท เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ NRF ผู้ดำเนินธุรกิจผลิต จัดหา และจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปรุงอาหารสำเร็จรูป อาทิ เครื่องปรุงอาหาร และอาหารมังสวิรัติไม่มีส่วนผสมจากนมและไข่ อาหารที่ได้จากโปรตีนพืช (Plant-Based) รวมไปถึงเครื่องดื่มชนิดผงและน้ำ โดยทำตลาดในไทยและส่งออกมากกว่า 30 ประเทศทั่วโลก มานานกว่า 30 ปี
ปัจจุบัน NRF ภายใต้การบริหารของ ‘แดน ปฐมวาณิชย์’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ NRF ประกาศการขยับตัวธุรกิจครั้งใหญ่ ในปี 2566 เพื่อก้าวสู่ปลายทางการเป็นองค์กรธุรกิจแบรนด์ด้าน ‘อาหารเพื่ออนาคต’ พร้อมพลิกโฉมระบบอาหารสู่โลกคาร์บอนเป็นศูนย์
บุกยุโรป รับเทรนด์อาหารเอเชียขยายตัว
แดน กล่าวถึงแผนธุรกิจในปีนี้ ได้วางแนวทางภายใต้กลยุทธ์ เน้นมอบประสบการณ์ส่งออกระดับโลก ‘NRF Next Step in the World of Asian Food Consumerism’ พร้อมต่อยอดธุรกิจไปสู่รูปแบบ D2C (Direct-to-consumer) ด้วยมองเห็นแนวโน้มการเติบโตของการบริโภคอาหารเอเชีย ในภูมิภาคยุโรป
โดยมูลค่าการบริโภคร้านอาหารเอเชียอยู่ที่ 7,100,000,000 เหรียญสหรัฐอเมริกา และตลาดอาหารชาติพันธุ์ (Ethnic Food Market) มีมูลค่าอยู่ที่ 2,990,000,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ
“นอกจากนี้ ผู้บริโภคกลุ่มอาหาร Ethnic Food กว่า 90% เลือกที่จะบริโภคอาหารกลุ่มนี้ที่บ้าน”
เปิดซูเปอร์มาร์เก็ตเอเชีย ‘แบมบู ลอนดอน’
ปัจจัยเหล่านี้ ทำให้ NRF มองเห็นโอกาสในการขยายตลาดอาหารเอเชียเชิงรุกในยุโรป ซึ่งการที่จะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายผู้บริโภคยุโรปได้ตรงนั้นแน่นอนว่าจะต้องมีหน้าร้าน ที่ NRF มองว่ายังเป็นจุดเชื่อมสำคัญในการทำธุรกิจภายใต้โมเดล ออมนิ-ชาแนล (Omni-Channel)
โดย NRF ตัดสินใจเปิดหน้าร้านซูเปอร์มาร์เก็ตเอเชีย ภายใต้แบรนด์ แบมบู (Bamboo) นำร่องสาขาแรกในกรุงลอนดอน เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ในการเข้าถึงสินค้าเอเชีย และ สินค้าไทยให้กับคนอังกฤษ โดยวางโมเดลธุรกิจครบวงจรในรูปแบบ Cash & Carry, Grocery และ eCommerce พร้อมดึงฐานข้อมูลมาใช้ร่วมวิเคราะห์การทำตลาดในอนาคต เพื่อตอกย้ำความเป็นองค์กรด้าน Food Technology ด้วย
พร้อมวางเป้าหมายขยายธุรกิจแบมบู ซูเปอร์มาร์เก็ตในอังกฤษ เพิ่มอีกราว 5 สาขา ใน12 เดือนข้างหน้านับจากนี้ ผ่านกลยุทธ์การเข้าซื้อธุรกิจร้านค้าท้องถิ่นในทำเลยุทธศาสตร์ ซึ่งขณะนี้ NRF อยู่ระหว่างเจรจา LOI (Letter of intent) กับร้านค้า 2 แห่ง ที่มียอดขายรวมอยู่ที่ 36 ล้านเหรียญสหรัฐ
ขณะเดียวกัน NRF จะยังเร่งสปีดทำงานร่วมกับเกษตรกรและผู้ส่งออกไทย ที่สนใจทำตลาดสินค้าเข้าสู่สหราชอาณาจักรฯ ด้วย
ย้ำแข็งแกร่ง สเปเชียลตี ฟู้ด ดันยอดขาย 4 พันล.
แดน กล่าวว่า นอกจากนี้ NRF ยังให้ความสำคัญในธุรกิจ Specialty Food ใน3 ด้านหลัก คือ
ด้านที่หนึ่ง ผลักดันให้ซอสศรีราชาเป็น Product champion โดยขยายฐานการผลิตโรงงานซอสพริกศรีราชาในสหรัฐอเมริกา เพื่อเป็น local product ระดับคุณภาพ มีรสชาติซอสพริกสูตรดั้งเดิม
สอดรับกับตลาดซอสพริกที่สหรัฐอเมริกามีมูลค่าอยู่ที่ 101,200 ล้านบาท เติบโตกว่า 33% เมื่อเทียบกับปีก่อน และยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการขยายธุรกิจและผลิตภัณฑ์ในครั้งนี้ นับเป็นการเพิ่มขีดความสามารถการเป็นผู้นำในฐานะผู้ผลิตซอสระดับสากลและเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้กับ NRF
ด้านที่สอง ผลิตภัณฑ์ Pet Food ส่งออก 5 ประเทศ คือ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป ออสเตรเลีย อินเดีย และ กลุ่มตะวันออกกลาง พร้อมขยายตลาดในช่องทาง Modern Trade ในหลายประเทศ สอดรับกับตลาดผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงโปรตีนทางเลือกที่มีส่วนแบ่งการตลาด 23.4% เมื่อเทียบกับตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงสูตรทั่วไป และในอนาคตผลิตภัณฑ์ อาหารสัตว์เลี้ยงทางเลือก จะมีอัตราความต้องการที่มากขึ้น อย่างต่อเนื่อง
และด้านที่สาม ธุรกิจ Climate Action - การขับเคลื่อนบริษัทสู่เป้าหมาย Net Zeroในฐานะผู้นำอุตสาหกรรมอาหารที่มีวิสัยทัศน์ในการใช้อาหารต่อสู้กับโลกร้อน Food Fighting Climate Change ที่ต้องการเปลี่ยนโลกให้ยั่งยืนด้วยธุรกิจ Decarbonization
โดยเข้าลงทุนใน frontline technology ซึ่งเป็นเทคโนโลยีดักจับคาร์บอนขั้นสูง ที่มีเป้าหมายมาจากการความต้องการที่จะแก้ปัญหาและลดผลกระทบจากสภาวะโลกร้อนจากอุตสาหกรรมอาหาร โดย NRF มีแผนติดตั้งในจังหวัดลำพูนด้วยเป็นต้นน้ำสำคัญของบริษัท
ซึ่งผลิตภัณฑ์ Bio Carbon มีส่วนช่วยในการพัฒนาดินให้มีความอุดมสมบูรณ์ส่งเสริมให้การเพาะปลูกมีประสิทธิภาพและสามารถดักจับคาร์บอนในกระบวนการเกษตร พร้อมเป้าหมายลดการเผาของเกษตรกรอีกด้วย
นอกจากนี้ NRF ยังร่วมผลักดันคู่ค้า พันธมิตร และบริษัทในเครือ ให้พัฒนาไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อเป็นผู้นำอุตสาหกรรม ผลิตอาหารชั้นนำบนพื้นฐานด้าน ESG และไปสู่เป้าหมาย Net Zero Emission ภายในปี 2573 เพื่อเสริมศักยภาพการแข่งขันทั้งในและต่างประเทศ
โดยในปี 2566 NRF ตั้งเป้ารายได้ราว 3-4 พันล้านบาท มาจากกลยุทธ์ธุรกิจที่วางไว้เพื่อรองรับโอกาสตลาดส่งอออาหารของไทยในปี 2566 มีแนวโน้มเติบโตขึ้น 2% คาดมีมูลค่าราว 10,281,109,608 ล้านบาท จากในปี 2565 มีมูลค่าอยู่ที่ 1,553,822 ล้านบาท