‘พีระพันธุ์’ ลั่นปี’67 ต้องเปลี่ยนโครงสร้างราคาน้ำมัน-ก๊าซ-ไฟฟ้า

‘พีระพันธุ์’ ลั่นปี’67 ต้องเปลี่ยนโครงสร้างราคาน้ำมัน-ก๊าซ-ไฟฟ้า
‘พีระพันธุ์’ลดภาระประชาชนรื้อโครงสร้างราคาพลังงานทุกชนิดให้เป็นธรรม เล็งทบทวนภาษีกดต้นทุนราคาดีเซล-เบนซิน ขณะที่คุมต้นทุนค่าไฟเกลี่ยราคาก๊าซฯ

นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน เปิดเผยว่า ได้กำหนดแผนการดำเนินงานที่สำคัญในปี 2567 ภายใต้หัวข้อ “ปีแห่งการขับเคลื่อนพลังงานไทย สู่อนาคตที่ดีกว่า” ไว้ 4 เรื่องหลัก คือ 1.รื้อโครงสร้างราคาพลังงานทั้งระบบ 2.ลดภาระค่าใช้จ่ายประชาชน 3. ปลดล็อกกฏระเบียบที่ไม่จำเป็น และ 4. สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชน

ทั้งนี้การดูแลค่าไฟฟ้า  นั้น มีแผนปรับโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติที่เป็นต้นทุนเชื้อเพลิงสำคัญในการผลิตไฟฟ้า โดยให้โรงแยกก๊าซธรรมชาติใช้ก๊าซในราคา Pool Gas หรือ ราคาเฉลี่ยจากทุกแหล่งที่มา จากเดิมที่อิงราคาก๊าซในอ่าวไทย ซึ่งจะทำให้ต้นทุนถูกลง

ขณะเดียวกันวางแผนบริหารจัดการปริมาณก๊าซฯให้เพียงพอ โดยเฉพาะก๊าซในอ่าวไทยที่คาดว่าจะผลิตได้เพิ่มขึ้นจาก 400 ล้านลูกบาศก์ฟุต(ลบ.ฟุต)ต่อวันเป็น 800 ล้านลบ.ฟุตต่อวัน 

นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาปริมาณความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุด(พีค) ซึ่งปีที่แล้วเกิดไฟพีคในช่วงกลางคืน  34,827 เมกะวัตต์ จากเดิมที่จะเกิดในช่วงกลางวัน ขณะที่ปัจจุบันมีการใช้รถยนต์ไฟฟ้า(อีวี)โดยปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้น 7 หมื่นคัน  ซึ่งส่วนใหญ่ร้อยละ 80 มีการชาร์จไฟฟ้าภายในบ้าน หากในอนาคตรถอีวีเพิ่มเป็น 1 แสนคันต้องมาดูเรื่องการสำรองไฟฟ้าจะเพียงพอแค่ไหน

ส่วนนโยบายดูแลราคาน้ำมันนั้น ในส่วนของดีเซล จะพยายามดูแลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร เมื่อพิจารณาจากโครงสร้างราคามี 2 ส่วนคือราคาหน้าโรงกลั่นกับภาษีหลายตัว สิ่งที่จะลดราคาลงได้คือทำในส่วนที่พลังงานรับผิดชอบ แต่ภาษีที่เก็บจากหน่วยงานอื่นอยู่ระหว่างการศึกษาอยู่ ว่าจะบริหารกันอย่างไร  ขณะนี้ยังต้องใช้กลไกของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไปก่อน

 

ด้านราคาน้ำมันกลุ่มเบนซิน แก๊สโซฮอล ทั้ง 91และ 95  ซึ่งจะสิ้นสุดมาตรการลดภาษีสรรพสามิตในวันที่ 31 มกราคม 2567 นั้น ขณะนี้แนวโน้มราคาน้ำมันปรับลดลงมามาก โดยเบนซินปรับลดลงมาก จากลิตรละ 38 บาท เหลือ 34 บาทต่อลิตร  หากไม่มีมาตรการลดภาษีสรรพสสมิตให้ จะสามารถใช้เงินจากกองทุนน้ำมันฯดูแลราคาขายปลีกได้

ด้าน นายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ในปี 2566 ที่ผ่านมา ประเทศไทยต้องเผชิญภาวะความผันผวนด้านพลังงานทั้งปัจจัยจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ สถานการณ์สู้รบระหว่างรัสเซีย - ยูเครน และ อิสราเอล - กลุ่มฮามาสที่มีความยืดเยื้อ รวมทั้งการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจจากสถานการณ์ โควิด ล้วนส่งผลกระทบต่อราคาพลังงาน และค่าครองชีพประชาชน

ทางกระทรวงพลังงานได้ดำเนินมาตรการสำคัญๆ หลายด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้แก่ประชาชน ซึ่งได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนด้านราคาพลังงานที่เกิดจากปัจจัยดังกล่าว ซึ่งในส่วนของการช่วยเหลือจากภาครัฐในช่วงวิกฤตราคาพลังงาน ปี 2566 ได้ใช้งบประมาณ 100,000 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือประชาชนให้ครอบคลุมทุกภาคส่วน ทั้งตรึงราคาค่าไฟฟ้า การตรึงราคาน้ำมันดีเซล และการลดราคาน้ำมันกลุ่มเบนซิน การตรึงราคาก๊าซหุงต้ม และ NGV

นอกจากนั้น กระทรวงพลังงานก็ได้เป็นส่วนหนึ่งในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ โดยในปี 2566 มีการใช้เม็ดเงินลงทุนในภาคพลังงานไปแล้วกว่า 178,000 ล้านบาท เกิดการจ้างงาน สร้างรายได้ให้กับประชาชนครอบคลุมทุกภาคส่วน

ส่วนแผนงานที่สำคัญของปี 2567 ยังคงมุ่งเน้นการสร้างความมั่นคงทางพลังงาน เช่น การบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติให้เพียงพอในราคาที่เป็นธรรม การส่งเสริมโซลาร์ภาคราชการและภาคประชาชน ส่วนด้านโครงสร้างราคาพลังงาน ก็จะดำเนินตามนโยบายของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน โดยการศึกษาและปรับโครงสร้างราคาพลังงานทุกชนิดให้เหมาะสมและเป็นธรรม รวมทั้งการเปิดเสรีในกิจการพลังงานเพื่อให้เกิดการแข่งขัน ส่วนด้านส่งเสริมพลังงานสะอาด ก็จะส่งเสริมพลังงานชีวมวล ชีวภาพ พลังงานจากแสงอาทิตย์ พลังงานลม ให้มากขึ้น พร้อมไปกับการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีในการลดการปล่อย CO2 เพื่อให้ตอบโจทย์ด้านสิ่งแวดล้อม

ด้าน นายวรากร พรหโมบล อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กล่าวว่าในปี 2567  จะเร่งรัดการลงทุนและให้มีการผลิตก๊าซธรรมชาติอย่างต่อเนื่องของแหล่งในประทศ รวมทั้งส่งเสริมและประสานความร่วมมือในการจัดหาก๊าซธรรมชาติจากประเทศเพื่อนบ้าน และเพื่อให้ประเทศสามารถพึ่งพาตนเองด้านพลังงานได้อย่างยั่งยืน โดยกรมฯเตรียมเปิดให้ยื่นขอสิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียม สำหรับแปลงสำรวจบนบก (ครั้งที่ 25) ด้วย

ขณะที่นายสราวุธ แก้วตาทิพย์ อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน กล่าวว่า ในภาพรวมได้ปรับปรุงมาตรฐานคุณภาพของน้ำมันเชื้อเพลิง เป็นมาตรฐานยูโร 5 (กำมะถัน ไม่เกิน 10 ppm) เริ่มบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 เป็นต้นไป โดยปีนี้มีแผนจัดทำมาตรฐานติดตั้งทางไฟฟ้าและกำหนดกรอบการให้บริการติดตั้ง EV Charging Station รวมถึงการลงนาม MOU ระหว่าง 5 หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเตรียมแผนลดชนิดหัวจ่ายน้ำมันกลุ่มดีเซล ให้เหลือน้ำมันดีเซลหมุนเร็วเกรดพื้นฐานชนิดเดียว (บี 7) เนื่องจากเป็นน้ำมันที่สามารถใช้กับรถยนต์มาตรฐานยูโร 5 ได้ทุกรุ่นทุกยี่ห้อ และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี20 (น้ำมันทางเลือก) เริ่ม 1 พฤษภาคม 2567 เป็นต้นไป

ขณะเดียวกันส่งเสริมการลงทุนในธุรกิจใหม่ (New Business) ของผู้ประกอบการในห่วงโซ่อุปทานน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านพลังงานที่มุ่งไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนของประเทศ

 

 

TAGS: #รื้อโครงสร้างราคา #ก๊าซธรรมชาติ #น้ำมัน #น้ำมันดีเซล