รมว.อุตสาหกรรมชูศักยภาพแหล่งแร่โพแทชในไทย ผลิตได้ปีละ 3 ล้านตัน เปิดทางเอกชนซาอุฯร่วมลงทุนหวังปูทางขยายการค้าอุตสาหกรรมปุ๋ย
น.ส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2567 ได้ทำหน้าที่หัวหน้าคณะผู้แทนไทย พร้อมด้วยนายดามพ์ บุญธรรม เอกอัครราชทูต ณ กรุงริยาด นายอดิทัต วะสีนนท์ อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ และเจ้าหน้าที่จากกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าหารือกับนายบันดาร์ อัลกอราเยฟ (H.E. Mr. Bandar bin Ibrahim Alkhorayef) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและทรัพยากรธรณี และนายคาร์ลิล บินซามัต (H.E. Mr. Khalil Binslmah) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและทรัพยากรธรณี ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ภายหลังร่วมประชุมโต๊ะกลมระดับรัฐมนตรีในงาน Future Minerals Forum 2024 ณ กรุงริยาด
ทั้งนี้ได้เสนอว่าทั้งสองประเทศสามารถร่วมมือกันในเรื่องปุ๋ยได้ โดยซาอุดีอาระเบียผลิตและส่งออกปุ๋ยยูเรีย และฟอสฟอรัส ขณะที่ไทยเป็นแหล่งแร่โพแทช ที่สำคัญแหล่งใหญ่ในภูมิภาคเอเชีย หากร่วมมือกันจะต่อภาพอุตสาหกรรมปุ๋ยได้ครบถ้วน
ขณะที่ซาอุดีอาระเบียมองว่าประเทศไทยเป็นแหล่งความมั่นคงด้านอาหารและยาเวชภัณฑ์ ซึ่งจะสามารถช่วยสร้างความมั่นคงในด้านนี้ร่วมกันได้เช่นกัน พร้อมทั้งรับจะนำเรื่องโพแทชไปเชิญชวนภาคเอกชนของซาอุดีอาระเบียที่สนใจเข้ามาร่วมลงทุนต่อไป
นายอดิทัต วะสีนนท์ อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กล่าวว่า ประเด็นที่ฝ่ายไทยหยิบยกมาหารือ ได้แก่ การส่งเสริมความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมเหมืองแร่และการลงทุนเกี่ยวกับแร่โพแทชและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เช่น ปุ๋ย โดยประเทศไทยมีแหล่งแร่โพแทชขนาดใหญ่ มีปริมาณสำรองจำนวนมาก
ปัจจุบันได้มีการอนุญาตประทานบัตรให้ทำเหมืองไปแล้วจำนวน 3 ราย คาดการณ์ว่าจะเริ่มผลิตได้ในอีก 3-4 ปี มีกำลังการผลิตโพแทชประมาณรวมกว่า 3 ล้านตันต่อปี ตลอดอายุโครงการจะสามารถผลิตแร่โพแทชได้มากถึง 100 ล้านตัน ในขณะที่ซาอุดีอาระเบียเป็นผู้ผลิตหลักของปุ๋ยยูเรีย และฟอสเฟต จึงมีความเป็นไปได้ในความร่วมมือเพื่อการลงทุนผลิตปุ๋ยร่วมกัน
นอกจากนี้ ไทยพร้อมต่อยอดความร่วมมือทางเทคนิคที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมแร่ในสิ่งที่ริเริ่มในเวที Future Minerals Forum (FMF2024) ในการพัฒนากรอบยุทธศาสตร์แร่ที่สำคัญในพหุภูมิภาคสร้างศูนย์กลางโลหะสีเขียวด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ และการขับเคลื่อนศูนย์ความเป็นเลิศในพหุภูมิภาค โดยไทยพร้อมจะเป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือดังกล่าว
ด้านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและทรัพยากรธรณีของซาอุดีอาระเบีย ยืนยันว่าพร้อมจะขยายความร่วมมือกับรัฐบาลไทยในทุกมิติที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นความร่วมมือด้านการค้า การลงทุน และการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ต่าง ๆ นอกจากนี้ ซาอุดีอาระเบียยังมองว่าประเทศไทยเป็นแหล่งความมั่นคงด้านอาหารและยาเวชภัณฑ์ ซึ่งจะสามารถช่วยสร้างความมั่นคงในด้านนี้ร่วมกันได้
พร้อมทั้งรับจะนำเรื่องโพแทชที่ได้รับในการหารือไปเชิญชวนภาคเอกชน ของซาอุดีอาระเบียที่สนใจ เช่น MA’ADEN Manara Minerals เข้ามาร่วมลงทุน
ทั้งนี้นายดามพ์ บุญธรรม เอกอัครราชทูต ณ กรุงริยาด มีแผนจะนำนักธุรกิจและผู้ประกอบการของซาอุดีอาระเบียไปศึกษาดูงานในกลุ่มธุรกิจที่สนใจในประเทศไทยในช่วงเดือนกุมภาพันธ์นี้ ซึ่งถือเป็นโอกาสอันดีที่ทั้งสองประเทศจะได้ต่อยอดการพัฒนาอุตสาหกรรม การค้า และการลงทุนระหว่างกัน