‘สิงห์ เอสเตท’ ใช้กลยุทธ์เดินทางลัดร่วมพันธมิตรเชี่ยวชาญเติมความแข็งแกร่งธุรกิจทุกด้าน แผน 3 ปี ลงทุน 2.5 หมื่นล้านบาท คลุม 4 ธุรกิจหลัก ปี67 คิกออฟ ‘คอนโด-มิกซ์ยูส’ ศรีราชา ชลบุรี
ฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. สิงห์ เอสเตท หรือ S เปิดเผยว่าแผนการลงทุนระยะ 3 ปี (พ.ศ. 2567 - 2569) คาดใช้งบฯ ราว 25,000 ล้านบาท ในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ 4 กลุ่มธุรกิจหลักในเครือ ประกอบด้วย กลุ่มธุรกิจโรงแรม 2.กลุ่มธุรกิจที่พักอาศัย 3.กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้า และ 4. กลุ่มธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน
จากแผนดังกล่าว ยังเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทฯ เตรียมก้าวไปสู่ปีที่ 10 ภายใต้แนวคิด Go Beyond Dreams โดยเตรียมพัฒนาโครงการคุณภาพระดับ “Best in Class” ในทุกกลุ่มธุรกิจ หลังประสบความสำเร็จในโครงการต่างๆ อาทิ โครงการสันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส โครงการ ครอสโรดส์ มัลดีฟส์ และโครงการสิงห์ คอมเพล็กซ์
ฐิติมา กล่าวต่อว่าในปี 2567 จะเป็นอีกหนึ่งปีที่ท้าทายสำหรับเศรษฐกิจโลก แต่ สิงห์ เอสเตท มีกลยุทธ์ในการขยายธุรกิจไปพร้อมกับการเตรียมตั้งรับสถานการณ์ต่างๆ ที่มีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา เพื่อตอกย้ำแนวทางการทำธุรกิจแบบมั่นคงและยั่งยืน โดยจะผสานความร่วมมือทั้งกับพันธมิตรธุรกิจที่เชี่ยวชาญทั้ง 4 กลุ่มธุรกิจ เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้มากขึ้น ด้วยสูตร 1+1 เท่ากับ 3 ซึ่งจะเป็นทางลัดในการเดินไปสู่เป้าหมายในทุกด้าน และทำให้สิงห์ เอสเตท วิ่งได้เร็วกว่าคนอื่น
โดยวางกลยุทธ์ในแต่ละกลุ่มธุรกิจดังนี้
1.กลุ่มธุรกิจโรงแรม ภายใต้การบริหารของ SHR โดยมีแผนปรับปรุงโรงแรมตามพอร์ตโฟลิโอ อย่างต่อเนื่อง จำนวน 5 โรงแรมในเครือที่ประเทศไทยและต่างประเทศ เพื่อเพิ่มอัตราเฉลี่ยต่อห้องต่อคืน (RevPAR) ได้มากกว่า 5% พร้อมแผนเสริมการให้บริการอื่นๆ นอกเหนือจากรายได้การเข้าพัก (Non-Room Revenue) ให้มีค่าใช้จ่ายต่อรายในการนใช้บริการเพิ่มขึ้น 15%
ขณะที่การหมุนเวียนสินทรัพย์ (Asset Rotation) ยังเป็นปัจจัยเสริมสร้างความแข็งแกร่งด้านผลประกอบการ โดยมุ่งไปที่สินทรัพย์ให้ผลตอบแทนสูงรวมถึงการมองหาโอกาสในการควบรวมกิจการของธุรกิจ ที่ทำให้เกิดการรับรู้รายได้ต่อเนื่องเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังมองโอกาสขยายลงทุนรูปแบบการควบรวมและเข้าซื้อกิจการ (M&A) โรงแรมอื่นด้วยกลยุทธ์การหาทำเลศักยภาพ โดยไม่จำกัดอยู่พื้นที่ใดที่หนึ่ง ๆ เพื่อสร้างอีโคโนมี ออฟ สเกล (Economy of Scale) จากปัจจุบันบริษัทฯ มีโรงแรมกระจายอยู่ใน 5 ประเทศ อาทิ มัลดีฟท์ ไทย สหราชอาณาจักร
2.กลุ่มธุรกิจที่พักอาศัยโดยในปี 2567 นี้ บริษัทฯ ต่อยอดการพัฒนาโครงการแนวราบให้ครอบคลุมทุกกลุ่มลักซูรี (Luxury Segment) ประกอบด้วย
- โครงการระดับอัลตราลักซูรี
- โครงการระดับซูเปอร์ลักซูรี
- โครงการระดับพรีเมียม ลักซูรี
- โครงการระดับลักซูรี
โดยโครงการทุกลุ่มดังกล่าว จะมุ่งลงทุนในที่ดินทำเลศักยภาพที่รองรับการพัฒนาสำหรับโครงการที่จะเกิดขึ้นระยะ 3-5 ปีนับจากนี้ พร้อมคาดว่าจะสามารถสร้างการรับรู้รายได้จากยอดโอนเพิ่มขึ้น 50% ในปีนี้
ในเบื้องต้นปีนี้ บริษัทฯ เตรียมเปิดตัวโครงการบ้านและคอนโด มูลค่ารวม 10,000 ล้านบาท ผ่าน 6 โครงการโดยปรับแผนเลื่อนการเปิดตัวโครงการ จากในปี 2566 ที่ผ่านมา คือ โครงการบ้านระดับหรูแบรนด์ฌอน (SHAWN) 2 มูลค่ารวม 4,600 ล้านบาท ราคา 15-30 ล้านบาท/ยูนิต
ส่วนอีก 4 โครงการมีมูลค่าราว 9,400 ล้านบาท แบ่งเป็น บ้านหรู 2 โครงการ คือ แบรนด์สริน (S’RIN) 1แห่ง ราคาเฉลี่ย 30-60 ล้านบาท/ยูนิต และแบรนด์สมิทธ์ (SMYTH) จำนวน 10 หลัง ราคาเฉลี่ย 100 ล้านบาท/ยูนิต ทำเลย่านพรานนก และอีก 2 โครงการ จะเป็นคอนโดมิเนียม ทำเลย่านพระรามสาม บริเวณสะพานแขวนพระรามเก้า อยู่ฝั่งพระนคร ราคาเฉลี่ย 150,000-180,000 บาท/ตร.ม.
สุดท้าย โครงการคอนโดมีเนียม อำเภอศรีราชา จ.ชลบุรี ซึ่งถือเป็นการพัฒนาสินค้าทำตลาดในต่างจังหวัดเป็นครั้งแรกของบริษัทฯ โดยวางระดับราคาเฉลี่ย 3++ ล้านบาท/ยูนิต รองรับตลาดกลุ่มนักลงทุนที่ต้องการซื้ออาคารชุดเพื่อการปล่อยเช่าให้แก่ชาวต่างชาติที่มาทำงานในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
“บริษัทฯ ยังเตรียมแผนพัฒนาโครงการมิกซ์ยูส ในต่างจังหวัดเป็นครั้งแรกอีกเช่นกัน จากส่วนต่อขยายในคอนโดศรีราชาข้างต้น ที่มีการใช้ที่ดินพัฒนาโครงการราว 2 ไร่ครึ่ง จากที่ดินทั้งหมด 24 ไร่” ฐิติมา กล่าว
สำหรับที่ดินในส่วนที่เหลือดังกล่าว บริษัทฯ วางแผนพัฒนาโครงการเพิ่มอีก 5-6 อาคาร โดยที่เหลือจะเป็นส่วนอื่น ๆ เช่น สำนักงานสำหรับธุรกิจ ของบริษัทต่างๆ รวมไปถึงพื้นที่สำหรับค้าปลีก ซึ่งคาดว่าจะใช้มูลค่าลงทุนทั้งสิ้น 10,000 ล้านบาท ในอีก 5 ปีข้างหน้า
โดยในปี 2567 บริษัทวางเป้าเติบโต 50% จากปีก่อน ด้วยแบคลอคที่มีมากกว่า 3,400 ล้านบาท คาดว่าจะรับรู้รายได้ในปีนี้ 3,000 ล้านบาท
3.กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้า บริษัทฯ มุ่งกลยุทธ์ใช้โมเดลธุรกิจที่มีความยืดหยุ่น ควบคู่ไปกับการชูจุดเด่นด้านที่ตั้งของโครงการต่างๆ ในเครือ ซึ่งจะทำให้มีอัตราการเช่าพื้นที่เฉลี่ยของอาคารสำนักงานในเครือที่มากกว่าในช่วงปี 2562 ด้วยอัตราการเช่าพื้นที่เฉลี่ย 85% ใน 3 โครงการหลักที่ดำเนินการมาก่อนหน้านี้ ด้วยจุดเด่นทำเลรองรับความต้องการที่แตกต่างกัน ทั้ง อาคารซันทาวเวอร์ อาคารสิงห์ คอมเพล็กซ์ และ อาคารเอส เมโทร ที่ดำเนินการมาก่อนหน้านี้
4. กลุ่มธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน บริษัทฯ วางเป้ายอดโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินในนิคมอุตสาหกรรม เอส อ่างทอง อยู่ที่ 40% ของพื้นที่ขายรวม โดยใช้ทำเลยุทธศาสตร์การเป็นจุดศูนย์กลางระหว่างแหล่งวัตถุดิบและเส้นทางการขนส่ง ความพร้อมด้านระบบสาธารณูปโภคทั้งกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้าที่มีสูงถึง 400 MWและปริมาณน้ำซึ่งเป็นหัวใจสำคัญสำหรับผู้ประกอบการเฉพาะทาง อาทิ กลุ่ม Semi-Conductor หรือ กลุ่ม Data Center นอกเหนือจากธุรกิจทางด้านอาหาร และความร่วมมือกับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เป็นแรงหนุนสำคัญในการทำให้สำเร็จตามเป้าหมายโดยปี 2567 บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้ 18,000 ล้านบาท เติบโต 20% แบ่งเป็น จากกลุ่มโรงแรม 60% กลุ่มที่อยู่อาศัย 30% อาคารสำนักงาน 7% และนิคมอุตสาหกรรม 3%
โดยในปี 2567 บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้ 18,000 ล้านบาท เติบโต 20% แบ่งเป็นจากกลุ่มโรงแรม 60% กลุ่มที่อยู่อาศัย 30% อาคารสำนักงาน 7% และนิคมอุตสาหกรรม 3%