‘แสนสิริ’ มองตลาดอสังหาฯปี 67 มีศักยภาพ พร้อมลงทุนเพิ่ม 10-20% ตามจีดีพีประเทศโตขึ้นทุก1% ขยับปรับแผนเปิดได้ 50 โครงการใหม่จากในปีนี้มี 46 โครงการมูลค่า 6.1 หมื่นล.บาท พาสู่เป้ายอดขาย 5.2 หมื่นล.บาท
อภิชาติ จูตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทแสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่เปิดเผยว่า ในปี 2567 ‘แสนสิริ’ ก้าวสู่ปีที่ 40 พร้อมไปสู่หนึ่งในเป้าหมายองค์กรชั้นนำการเข้าทำงานของคนรุ่นใหม่ ภายใต้ดีเอ็นเอ SPEED TO MARKET, ATTENTION TO DETAIL และ WORK FROM HEART และมุ่งสู่แนวทางการปรับตัวให้สอดคล้องทุกสถานการณ์ ‘RESILIENT GROWTH-ยืนหยัด ยั่งยืน’ด้วยการนำศักยภาพ ความเชี่ยวชาญ นวัตกรรม มาต่อยอดธุรกิจ เพื่อขับเคลื่อนองค์กรอย่างมั่นคง
โดยผลดำเนินการแสนสิริ ตลอดปี 2566 ที่ผ่านมาสร้างประวัติศาสตร์ใหม่จากผลประกอบการดีที่สุดในรอบ 40 ปี นับแต่ก่อตั้งบริษัท จากการเปิดตัว 44 โครงการมูลค่ารวมกว่า 6.5 หมื่นล้านบาท มียอดขาย 4.9 หมื่นล้านบาทด้วยยอดโอน(รวมโครงการร่วมทุน) 3.9 หมื่นล้านบาท และสามารปิดการขาย (Sold out) ได้ถึง 28 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 5.1 หมื่นล้านบาท
“ผลดำเนินงานดังกล่าวยังสร้างสถิติออลล์-ไทม์ ไฮ เติบโตจากปีก่อน 50% และสูงกว่าช่วงโควิด 10 เท่าในทุกโปรดักส์ ทั้งคอนโดมีเนียม บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮม ทุกกลุ่มระดับราคาในทำเลรองรับความต้องการอยู่อาศัยแท้จริง” อภิชาติ กล่าว
เปิด 46 โครงการใหม่ 6.1 หมื่นล้านบาท
ด้าน อุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัทแสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าแนวทางการดำเนินธุรกิจบริษัทในปี 2567 ว่าแผนเปิดตัวรวม 46 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 6.1 หมื่นล้านบาท บนทำเลศักยภาพในกรุงเทพฯ และตลาดต่างจังหวัด พร้อมเพิ่มสัดส่วนโครงการบ้านระดับลักซูรี มากขึ้น แบ่งออกเป็น
กลุ่มธุรกิจแนวราบ วางแผนเปิดตัว 26 โครงการ มูลค่ารวม 3.5 หมื่นล้านบาท มีโครงการไฮไลท์ ในปีนี้ ในกลุ่ม Sansiri Luxury Collection 2 โครงการ ได้แก่
- บ้านเดี่ยวระดับลักซูรี ‘นาราสิริ บางนา กม.10’ มูลค่าโครงการ 3.8 พันล้านบาท ราคาเริ่มต้น 55 ล้านบาท
- บ้านเดี่ยวระดับลักซูรี ‘บ้านเศรษฐสิริ’ รวม 7 โครงการ มูลค่ารวม 1.44 หมื่นล้านบาท นำร่องด้วยเศรษฐสิริ วัชรพล-เทพรักษ์ โครงการใหม่สไตล์ Georgian มูลค่า 2.7 พันล้านบาท
พร้อมทำตลาดแนวราบในระดับราคาเข้าถึงง่าย ภายใต้แบรนด์ ‘สราญสิริ’ 6 โครงการมูลค่ารวมกว่า 9.1 พันล้านบาท และอณาสิริ 4 โครงการ มูลค่ารวม 4.1 พันล้านบาท รวมไปถึงขยายพอร์ตแนวราบโดยจะเปิดตัว 2 แบรนด์ใหม่ คือ ณรินสิริ (Narinsiri) แบรนด์บ้านเดี่ยวระดับพรีเมียมโครงการแรก ‘ณรินสิริ กรุงเทพกรีฑา’ มูลค่าโครงการ 1,800 ล้านบาท ระดับราคา 45-70 ล้านบาท และ ‘มาบิล บางนา 26’ มูลค่าโครงการ 850 ล้านบาท
กลุ่มธุรกิจแนวสูง แผนเปิดตัวคอนโดมีเนียม 20 โครงการมูลค่ารวม 2.6 หมื่นล้านบาท พร้อมเตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ในหัวเมืองท่องเที่ยวมากขึ้น มีไฮไลท์ ดังนี้
- กลุ่มคอนโดระดับลักซูรี จะเปิดขาย The Standard Residences Hua Hin (เดอะ สแตนดาร์ด เรสซิเดนท์ หัวหิน) มูลค่าโครงการ 4,500 ล้านบาท
- ไลฟ์สไตล์ โฮเทล เดอะ สแตนดาร์ด แบรนด์บูทีค Branded Residences แห่งแรกในเอเชียและแห่ง ที่ 3 ของโลก
- คอนโดมีเนียม‘เวีย’ 2 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 2,500 ล้านบาท บนทำเลศักยภาพที่มีความต้องการ (Demand) แต่มีการจัดหา (Supply) น้อย บนทำเล สุขุมวิท 34 และ 61
พร้อมทำต่อในตลาดคอนโดมีเนียมราคาเข้าถึงง่ายแบรนด์ แคมปัส คอนโด เปิดตัวดี คอนโด 3โครงการ มูลค่ารวม 2,800 ล้านบาท และพัฒนาโครงการคอนโดกลุ่มแบรนด์ เดอะมูฟ และ คอนโดมี อย่างต่อเนื่อง และเตรียมรีเฟรชแบรนด์ เดอะ เบส เพื่อรองรับการเปิดตัวในปีนี้ รวม 2 โครงการมูลค่าราว 3.6 พันล้านบาท
ขยับลงทุนเพิ่มตามสัดส่วนจีดีพีไทยโต
อุทัย กล่าวต่อถึงภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ไทยในปี 2567 มองว่าตลาดยังมีความต้องการอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีความผันผวนจากอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นตลอดช่วงปี 2566 ที่ผ่านมาถึงปัจจุบัน และกระทบต้นทุนสินค้าบ้านใหม่ที่ปรับสูงขึ้นราว 10% ขณะที่อัตราดอกเบี้ยที่ปรับเพิ่มขึ้นทุก 1% มีผลต่ออำนาจการซื้อลดลง 7-8%
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยต้นทุนบ้านใหม่ที่มีราคาสูงขึ้นเปรียบเทียบกับสต็อกบ้านที่อยู่ในตลาดและบ้านมือสองที่มีราคาต้นทุนเดิมก่อนดอกเบี้ยปรับขึ้นนั้น คาดไม่ส่งผลกระทบกับการตัดสินใจซื้อของลูกค้าในตลาดบ้านใหม่มากนัก จากความต้องการที่อยู่อาศัยยังมีต่อเนื่องในตลาดตามสัดส่วนประชากรของไทย ซึ่งการตัดสินใจซื้อบ้านใหม่หรือบ้านมือสองนั้นขึ้นอยู่กับความพึงพอใจลูกค้าเป็นหลักว่าต้องการที่อยู่อาศัยประเภทใดหากใช้ระดับราคาเดียวกันหรือต้องการทำเลในย่านใดมาใช้เป็นเกณฑ์ตัดสินใจเลือกซื้อ
“ปีนี้ บริษัทเปิดตัวใหม่ 46 โครงการในกรณี Base Case สถานการณ์ปกติเศรษฐกิจประเทศหรือจีดีพีไทยเติบโต 3% แต่หากมีการปรับจีดีพีเพิ่มขึ้นอีก 1% มาอยู่ที่ 4% บริษัทพร้อมเพิ่มลงทุนอย่างน้อย 10-20% และทบทวนเพื่อเปิดตัวโครงการใหม่ได้ถึง 50 โครงการด้วยการโยกโครงการปี 2568 มาเปิดปี 2567 นี้ ซึ่งบริษัทยังมีซัพพลายในมือเพียงพอ จึงไม่จำเป็นต้องเปิดตัวโครงการมากเท่าปีก่อน ๆ ขณะที่จำนวนโครงการใหม่ๆที่เตรียมเปิดตัวทั้งหมดในปีนี้บริษัทยังมีที่ดินสะสมเพียงพอต่อการพัฒนาในทุกโครงการ ด้วยในแต่ละปีบริษัทใช้งบลงทุนจัดซื้อที่ดินไม่ต่ำกว่า หมื่นล้านบาท” อุทัย กล่าว
อย่างไรก็ตาม ในฐานะผู้ประกอบการธุรกิจมองว่าขณะนี้ยังต้องรอดูสถานการณ์ดอกเบี้ยในประเทศว่าจะไปในทิศทางใด ด้วยสอดคล้องกับนโยบายธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (เฟด) อาจมีแนวโน้มคลี่คลายในช่วงปลายปีนี้ จากในช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้ชำระดอกเบี้ยจากการลงทุนในอัตราที่สูงขึ้นแม้ว่าจะไม่มีผลผลิตเพิ่มขึ้นแต่อย่างใดก็ตาม
ขณะที่ สถานการณ์ดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่ออำนาจการจับจ่ายของลูกค้าในภาพรวม ซึ่งบริษัทได้ให้ความช่วยเหลือกลุ่มลูกค้าที่สนใจซื้อบ้านแสนสิริอย่างต่อเนื่องจากทีมขายที่พร้อมให้คำแนะนำขั้นตอนด้านต่างๆ ตั้งแต่ช่วยวางแผนการเงินในการเลือกสินค้าที่เหมาะสมทั้งงบประมาณและความต้องการลูกค้า รวมถึงการหารือร่วมกับพันธมิตรสถันการเงินทั้ง 5 แห่งของบริษัท ในการขอสินเชื่อเพื่ออยู่อาศัยในโครงการต่างๆของแสนสิริ ซึ่งจากข้อมูลพบว่ากลุ่มลูกค้าในโครงการแสนสิริส่วนใหญ่มีความสามารถในการชำระหนี้ได้สูง
3 กลยุทธ์พาสู่เป้าขาย 5.2 หมื่นล้านบาท
ด้าน ภูมิภักดิ์ จุลมณีโชติ ประธานผู้บริหารสายงานกลยุทธ์ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แม้ว่าเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้ายังไม่ฟื้นตัวอย่างเต็มที่ จากทั้งปัจจัยภายในและต่างประเทศ โดยในประเทศยังมีความท้าทาย เรื่องอัตราดอกเบี้ยเป็นตัวแปรสำคัญ ส่วนปัจจัยที่ส่งเสริมธุรกิจ คาดมาจากการฟื้นตัวของตลาดท่องเที่ยว มีผลกระตุ้นแรงซื้อจากชาวต่างชาติมากในสินค้ากลุ่มคอนโดมีเนียม โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าประเทศ จีน และ รัสเซีย ทำให้บริษัทวางแผนพัฒนาโครงการคอนโดมีเนียมในตลาดต่างจังหวัดหัวเมืองใหญ่ อาทิ หัวหิน ภูเก็ต เชียงใหม่ พัทยา ฯลฯ จำนวน 9 โครงการ พร้อมวางกลยุทธ์หลักในปี 2567 ประกอบด้วย
1. รักษาระดับผลประกอบการให้เติบโตอย่างสม่ำเสมอ เพิ่มสัดส่วนการเปิดตัวโครงการให้มากขึ้นโดยเฉพาะโครงการแนวราบ และการใช้เงินลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ รักษาสภาพคล่องให้อยู่ในระดับที่สูง
จากผลการดำเนินงานในรอบ 9 เดือนแรกของปี 2566 มีกำไรสุทธิที่ 4,760 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 91% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเป็นอันดับ 1 ในกลุ่มอสังหาฯ) สูงสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 40 ปีนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท
2. บริหารจัดการพอร์ตสินค้าพร้อมขาย ให้กระจายไปในหลากหลายทำเล เพื่อสร้างโอกาสและความได้เปรียบในการแข่งขันที่มากกว่า ผ่านการควบคุมระดับสินค้าเพื่อการขายในแต่ละระดับราคาให้อยู่ระดับที่เหมาะสม ก่อนพิจารณาเปิดโครงการใหม่ในแต่ละครั้ง
เน้นเรื่องวินัยในการลงทุนมากกว่าคว้าทุกโอกาสที่เข้ามา และเมื่อรวมโครงการเปิดใหม่ในปีนี้ แสนสิริจะมียูนิตพร้อมขายทั่วประเทศรวมมูลค่า 146,000 ล้านบาท ซึ่งส่งผลให้แสนสิริจะมีรายได้ที่เติบโตอย่างต่อเนื่องใน 3 ปีข้างหน้า
ภูมิภักดิ์ กล่าวว่า “แสนสิริ จะไม่เร่งเปิดโครงการจำนวนมากที่ทำให้ซัพพลายมีมากกว่าดีมานด์ โดยปีนี้ได้เพิ่มพอร์ตโครงการใหม่รวม 6,720 ยูนิต เพื่อให้บริษัท ยังมีซัพพลายเปิดใหม่รวมราว ๆ 12,380 ยูนิต ซึ่งเป็นจำนวนที่เหมาะสมกับการทำตลาด”
ภายใต้กลยุทธ์นี้ แสนสิริ พร้อมขยายโอกาสในการลงทุนกับพันธมิตรทางธุรกิจรายใหม่ๆ เพื่อพัฒนาโครงการร่วมกัน ตลอดจนกลับไปรุก Strategic Location หัวเมืองใหญ่และเมืองท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ มีโรดแมปการพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐานที่ชัดเจน และได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและเป็นที่นิยมของชาวต่างชาติ ได้แก่ ภูเก็ต เชียงใหม่ พัทยา หัวหิน
โดยวางแผนจะเปิดตัวโครงการในต่างจังหวัดทั้งหมด 13 โครงการ มูลค่ารวม 16,000 ล้านบาท โตกว่าปีก่อนหน้าถึง 170%
สำหรับ Strategic Location อย่างภูเก็ต ได้มีการจัดทำแผนกลยุทธ์ 5 ปี ในการเปิดตัวโครงการใหม่ 16 โครงการ มูลค่ารวม 15,000 ล้านบาท รวมถึงวางแผนเปิดตัว Sansiri Hub หรือออฟฟิศของแสนสิริในจังหวัดภูเก็ตในปี 2567 นี้ด้วยเช่นกัน รวมถึงหัวหินกับโครงการเดอะ สแตนดาร์ด เรสซิเด้นซ์ หัวหิน ที่จะเปิดตัวในเดือนกุมภาพันธ์นี้
3. ยกระดับคุณภาพของสินค้า บริการ และความยั่งยืน ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญด้านหนึ่งของแสนสิริเพื่อรักษามาตรฐานคุณภาพในการบริหารจัดการที่อยู่อาศัยด้วยทีมงาน จากบริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้
ทั้งนี้จากแผนการดำเนินงานดังกล่าว บริษัทวางเป้าหมายยอดขายในปี 2567 อยู่ที่ 5.2 หมื่นล้านบาท และเป้าหมายยอดโอนที่ 4.3 หมื่นล้านบาท