ทีมปฏิบัติการเชิงรุก-บีโอไอ ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ลงทุน กางแผนโรดโชว์ 200 ทริป 16 ประเทศ จ่อชงครม.คลอดแพคเกจใหม่ลงทุนรถยนต์ไฟฟ้าา ก่อนยุบสภา
ม.ล.ชโยทิต กฤดากร ผู้แทนการค้าไทย ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และหัวหน้าทีมปฏิบัติการเชิงรุกเพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ กล่าวว่า ได้เดินหน้าตามยุทธศาสตร์ “Better and Green Thailand 2030” เพื่อผลักดันเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนในระยะ 10 ปีข้างหน้า โดยมีเป้าหมายดึงดูดการลงทุนมากกว่า 2 ล้านล้านบาท สร้างตำแหน่งงานใหม่ 625,000 อัตรา และเพิ่มจีดีพีของประเทศอีก 1.7 ล้านล้านบาท
ทั้งนี้ได้ร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อดึงการลงทุนใหม่จากต่างประเทศ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า ดิจิทัล และอิเล็กทรอนิกส์
ปัจจุบันนักลงทุนทั่วโลกยังให้ความสนใจลงทุนในประเทศไทย โดยเฉพาะการเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาคนี้ ที่มีผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ระดับโลกเลือกใช้ไทยเป็นฐานผลิต เช่น เกรท วอลล์ มอเตอร์ (GMW) เอสเอไอซี มอเตอร์ (MG) บีวายดี ออโต้ (BYD) รวมถึงฟ็อกซ์คอนน์ที่ร่วมมือกับ ปตท. เป็นต้น
อย่างไรก็ตามเตรียมเสนอคณะรัฐมนตรีอนุมัติมาตรการส่งเสริมการลงทุนสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งเป็นการปรับปรุงเงื่อนไขเดิมให้สอดคล้องกับความต้องการของนักลงทุนมากขึ้น การยืดระยะเวลาของการผลิตรถยนต์ในประเทศให้มากกว่า 2 ปี และการจัดงบสนุนสนุนการตั้งโรงงานผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งคาดว่าจะนำเสนอได้ก่อนจะมีการยุบสภาพแน่นอน
ด้านนายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) กล่าวว่าแผนการดึงลงทุนของบีโอไอในปีงบประมาณ 2566 ได้วางแผนจัดกิจกรรมเชิงรุกเจาะกลุ่มเป้าหมายกว่า 200 ครั้ง ทั้งการจัดคณะโรดโชว์จากส่วนกลางและสำนักงานบีโอไอ 16 แห่งทั่วโลก เพื่อเผยแพร่มาตรการส่งเสริมการลงทุนใหม่และโอกาสการลงทุนในประเทศไทย
"การระบาดของโควิด-19 เศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอลง รวมถึงการแบ่งขั้วทางการเมืองระหว่างประเทศ แม้ว่าจะเป็นปัจจัยที่สร้างความท้าทายและเป็นปัจจัยที่มีผลต่อการส่งเสริมการลงทุน แต่ก็เป็นปัจจัยบวกสำหรับไทย เนื่องจากทำให้เกิดการย้ายฐานการผลิตครั้งใหญ่และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็เป็นเป้าหมายสำคัญ ซึ่งไทยก็เป็นประเทศที่มีความโดดเด่นในภูมิภาคนี้"