‘ซัมซุง’ กับเรือธง S24 ตัวเปลี่ยนเกมสมาร์ทโฟนโลก หลังได้ ‘AI’ ดูด 25% ผู้ใช้งานจากคู่แข่งเพิ่ม

‘ซัมซุง’ กับเรือธง S24  ตัวเปลี่ยนเกมสมาร์ทโฟนโลก  หลังได้ ‘AI’ ดูด 25% ผู้ใช้งานจากคู่แข่งเพิ่ม
‘ซัมซุง’ เปิดเกมใหม่ของโลก ‘AI Phone’  หลังอันแพ็ค Galaxy S24 Series ได้ 2 สัปดาห์ยอดจองพุ่ง 2 เท่าตัวเทียบ S23 ดึงผู้ใช้งาน 25% จากคู่แข่งเปลี่ยนหันมาใช้เอไอในชีวิตมากขึ้น ปักหมุด ‘ไทย’ เป็นตลาดสำคัญ

สิทธิโชค นพชินบุตร รองประธานองค์กร ธุรกิจโมบายล์ เอ็กซ์พีเรียนซ์ บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด กล่าวว่า จากความสำเร็จการพัฒนานวัตกรรมและประสิทธิภาพการทำงานอุปกรณ์โทรศัพ์เคลื่อนที่ Samsung Galaxy S24 และรุ่นเรือธงตัวบนสุด Samsung Galaxy S24 Ultra พร้อม Galaxy AI ในงาน Galaxy Unpacked 2024 ทั่วโลกพร้อมเปิดให้สั่งจองสินค้าล่วงหน้าในช่วง 2 สัปดาห์ก่อนหน้านี้ พบว่า S24 Series มียอดจองสูงขึ้นกว่า 2 เท่าตัวเทียบรุ่น Samsung Galaxy S24 Series และ เติบโต 3 เท่าตัวเทียบรุ่น Samsung Galaxy S22 Series

ขณะเดียวกันจากการใช้โปรแกรมสำรวจและเก็บข้อมูลของบริษัท รวมถึงการใช้แคมเปญเครื่องเก่าแลกเครื่องใหม่(Trde-in)ของซัมซุง ยังพบว่ามีผู้ใช้งาน 1 ใน4 หรือ สัดส่วน 25% จากสมาร์ทโฟนแบรนด์คู่แข่ง สลับเปลี่ยนมาใช้ Samsung Galaxy S24 เพิ่มขึ้น หลังเปิดตัวความร่วมมือระหว่างกูเกิล คลาวด์ เพื่อให้บริการ AI Phone ร่วมกันระยะยาว

“ความต้องการของผู้บริโภคดังกล่าว ยังสะท้อนภาพรวมตลาดสมาร์ทโฟน ระดับพรีเมียมที่มีราคาสองหมื่นบาท ขึ้นไปที่มีแนวโน้มเติบโตสูงขึ้นมากกว่าตลาดโทรศัพท์นัน-พรีเมียมราคาต่ำสองหมื่นบาท คาดเป็นผลมาจากทั้งพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันมาลงทุนในสมาร์ทโฟนเพื่อใช้งานได้เต็มที่ รวมถึงกำลังซื้อสินค้าในระดับบนที่ไม่ตกลงเหมือนตลาดทั่วไปจากำลังซื้อชะลอตัว” สิทธิโชค กล่าว

โดยสอดคล้องกับข้อมูลจาก GFK ระบุตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่ในปี 2566 มีมีปริมาณ(หน่วย) อยู่ที่ราว 12.3 ล้านยูนิต แบ่งเป็นกลุ่มพรีเมียม 10.7 ล้านเครื่อง และ นัน-พรีเมียมราว 1.6 ล้านเครื่อง โดยในปี2566 ตลาดรวมลดลง 15% มีปริมาณ 10.7 ล้านเครื่อง แบ่งเป็นกลุ่มพรีเมียม 9.1 ล้านเครื่อง และ นัน-พรีเมียม 1.5 ล้านเครื่อง

ขณะที่ตลาดรวมโทรศัพท์เคลื่อนที่ในปี 2565 มีมูลค่าอยู่ที่ราว 3,726 ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา แบ่งเป็นกลุ่มพรีเมียม 2,062 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และ นัน-rพรีเมียม 1,664 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยในปี2566 ตลาดรวมเติบโตลดลง 14% อยู่ที่ 3,533 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แบ่งเป็น กลุ่มพรีเมียม 1,778 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โตจากปีก่อน 5% และตลาดนัน-พรีเมียม 1,755 ล้านดอลลาร์สหรัฐ    

สิทธิโชค กล่าวต่อว่า จากการเปิดตัว Galaxy S24 Series พร้อมนำเทคโนโลยี AI ใช้งานร่วมกับ 'Galaxy พร้อมกำหนดมาตรฐานใหม่ในวงการโทรศัพท์มือถือทั่วโลกรองรับพฤติกรรมผู้ใช้ในยุคปัจจุบันที่นำ AI มาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน พร้อมรองรับการเติบโตของตลาด AI ทั่วโลกอย่างต่อเนื่องทั้งในตลาดโลกรวมถึงในไทย โดยการเติบโตของ Generative AI ทั่วโลกคาดว่าจะมีมูลค่ากว่า 1.3 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2575 และในปัจจุบัน Chat GPT มีผู้ใช้มากกว่า 180.5 ล้านคน

โดยขนาดตลาด Generative AI ของประเทศไทย คาดจะมีอัตราการเติบโตรายปีที่ 23.46% ส่งผลให้มูลค่าตลาดอยู่ที่ 1,084 ล้านเหรียญสหรัฐ ภายในปี 2573 โดยมากกว่า 1 ใน 3 หรือ 35% ของผู้บริโภคในประเทศไทยมีแนวโน้มที่จะใช้ AI ทั้งใช้กับชีวิตส่วนตัวและใช้เกี่ยวกับการทำงาน

5 เทรนด์ AI ปฏิวัติโลกยุคใหม่  

พร้อมกล่าวต่อ เทรนด์หลักของ AI ในปี 2567 ที่น่าสนใจโดยแบ่งเป็น 5 เทรนด์ดังนี้

เทรนด์ที่ 1: Generative AI เป็นการใช้ AI ในการสร้างคอนเทนต์ใหม่ๆ ได้หลากหลาย ตั้งแต่ข้อความไปจนถึงดนตรี มีแนวโน้มว่าปี 2569 องค์กรต่างๆ มากกว่า 80% จะนำ Generative AI ในการดำเนินงานซึ่งเพิ่มขึ้นจากเดิมที่น้อยกว่า 5% ในปัจจุบัน[5]

เทรนด์ที่ 2: BYOAI หรือ Shadow AI เป็นแนวโน้มใหม่ในที่ทำงานโดยพนักงานนำ AI ของตนเองเข้ามาใช้ในการทำงาน เกิดจากเครื่องมือ AI ที่ใช้งานง่ายและราคาไม่แพง โดยผลการรายงานจาก Forrester ระบุว่า '60% ของพนักงานจะใช้ AI มาช่วยทำงานในด้านต่างๆ มากขึ้น'

เทรนด์ที่ 3: แอปพลิเคชั่นอัจฉริยะด้วย AI เฉพาะบุคคล ในปี 2569 1 ใน 3 ของแอปพลิเคชั่นทั้งหมดจะใช้ AI เพื่อสร้างอินเตอร์เฟชให้ผู้ใช้ได้ปรับแต่งเฉพาะบุคคลได้[7]

เทรนด์ที่ 4: AI สำหรับการเขียนโค้ด งานบางอย่างถูกโยนไปให้ AI แก้ปัญหา หนึ่งในนั้นคือการเขียนโปรแกรม โดย Gartner ระบุว่า 'ภายในปี 2571 บริษัทซอฟแวร์จะใช้ AI มาช่วยในการเขียนโค้ดจาก 3 ใน 4 ของบริษัททั้งหมด ซึ่งในปี 2566 พบว่ามีเพียง 1 ใน 10 เท่านั้น'[8]

เทรนด์ที่ 5: การค้นหาออนไลน์ด้วย AI ซึ่ง AI ปรับปรุงการค้นหาออนไลน์โดยให้ตรงกับความชอบของผู้ใช้ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องและแม่นยำมากยิ่งขึ้น หรือการค้นหาแบบสนทนาเพื่อให้การตอบโต้กับเครื่องมือการค้นหาได้อย่างธรรมชาติและรวมไปถึงการค้นหาด้วยภาพหรือวิดีโอ

โดย ซัมซุง ยังได้ทำงานร่วมกับผู้นำทางด้าน AI อย่าง Google และ Microsoft โดยใช้ AI มาพัฒนาเทคโนโลยีในด้านต่างๆเช่น Circle to Search ที่สามารถค้นหาสิ่งที่ต้องการได้โดยไม่ต้องสลับแอปพลิเคชันซึ่งเปิดตัวครั้งแรกใน Galaxy S24 Series

พร้อมร่วมกับ LLM โซลูชั่นที่มอบประสบการณ์การใช้ AI ด้วยฟีเจอร์หลัก เช่นLive Translate,Voice Recorder, Samsung Notes และอื่นๆ โดย LLM จะเปิดให้มีประสบการณ์ AI มากยิ่งขึ้นบน Galaxy S24 Series  รวมถึงพัฒนาด้านความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวซึ่งเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของ Galaxy S24 Series ทั้งการตั้งค่าขั้นสูงด้วย AI ช่วยให้ผู้ใช้สามารถตัดสินใจเกี่ยวกับการประมวลผลของ AI แบบเต็มรูปแบบได้จากทางออนไลน์ แดชบอร์ดความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว

โดยซัมซุงได้พัฒนาแดชบอร์ดนี้เพื่อให้ผู้ใช้เข้าใจได้ง่ายว่าแอปใดกำลังเข้าถึงตำแหน่งที่ตั้ง ข้อมูล หรือกล้อง จากนั้นสามารถปิดการอนุญาตได้เองทันทีเพียงคลิกเดียว ไปจนถึงการใส่ลายน้ำ Metadata โดยนวัตกรรมนี้รับประกันว่าผู้ใช้สามารถแชร์รูปภาพได้อย่างปลอดภัยไม่เสี่ยงต่อการรั่วไหลของข้อมูลส่วนตัว มากไปกว่านั้น Galaxy S24 Series ยังได้รับการป้องกันด้วย Samsung Knox Metrix ซึ่งให้การเข้ารหัสและเชื่อมต่อคลาวด์อย่างปลอดภัย รวมถึง Knox Vault, Auto Blocker, Secure Wi-Fi, Private Share เพื่อปกป้องผู้ใช้งานจากอาชญากรรมทางไซเบอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สิทธิโชค เสริมว่าการเปิดตัวของ Galaxy S24 Series ยังได้เปิดสู่โฉมใหม่ของอุตสาหกรรมโทรศัพท์ สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงจากการใช้เทคโนโลยี AI ในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มคนรุ่นใหม่ Gen MZ ที่เป็นผู้ใช้งาน AI สอดคล้องผลวิจัยเกี่ยวผู้บริโภค Gen MZ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และโอเชียเนีย ที่พบว่าผู้ใช้งานกลุ่มนี้มีความสนใจหลากหลายด้าน ดังนี้

  • อาหารเป็นสิ่งที่ได้รับความสนใจมากที่สุดที่ 77%
  • การเดินทาง 68%
  • ดนตรี 58%
  • เกม 53%
  • แฟชั่น/ความงาม 46%
  • กีฬา 35%
  • K-Wave 27%

โดยแนวโน้มดังกล่าวยังเป็นทิศทางเดียวกับผู้ใช้งานในประเทศไทย พร้อมวางให้เป็นหนึ่งในตลาดสำคัญของซัมซุง

 

TAGS: #ซัมซุง #SAMSIUNG #AI #PHONE #เอไอ