เอสซี แอสเสทฯ เข้าสู่ทศวรรษที่ 3 ด้วยวิสัยทัศน์ ‘SC the Evolution’ มุ่งเติบโตยั่งยืนทั้ง คน (People) โลก (Planet) และ กำไร (Profit) เริ่มแผนปี'67 เปิด17 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 3 หมื่นล.
ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ กล่าวว่านับจากนี้ไปอีก 10 ปีข้างหน้า (2567-2577) บริษัทได้ดำนินธุรกิจเข้าสู่ทศวรรษที่ 3 ด้วยวิสัยทัศน์การวิวัฒนาการ ‘SC the Evolution’ พร้อมปรับตัวรอบด้านในการพัฒนาผลิตภัณฑ์โครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อทำตลาดที่มีความหลากหลายสร้างความเติบโตควบคู่กันไปทั้ง3 ด้าน คือ คน (People) โลก (Planet) และ กำไร (Profit) ได้อย่างยั่งยืนร่วมกัน
จากแนวคิดดังกล่าวยังได้ขยายผลมาสู่แผนการทำธุรกิจ 5 ปี (2567-2571) โดยวางเป้าหมายรายได้รวมทั้งหมดจากธุรกิจต่างๆ มากกว่า 150,000 ล้านบาท จากกการลงทุนอย่างเหมาะสมเพื่อการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยรักษาอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน D/E น้อยกว่า 1.5 โดยมีความสมดุลด้วยส่วนผสมกำไรจากธุรกิจต่างๆ
นอกจากนี้ยังจะมุ่งการมีกำไรจากธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำสม่ำเสมอ (recurring income)ประกอบด้วย 4 ธุรกิจหลัก คือ อาคารสำนักงานให้เช่า, โรงแรม, คลังสินค้า และ อสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่าในสหรัฐอเมริกา ให้มีกำไรเพิ่มเป็น 25% ภายใน 5 ปีหน้า จากปัจจุบันอยู่ที่ 15%
“การดำเนินธุรกิจของบริษัทในช่วง 10 ปีแรก นับจากการนำกิจการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ มีรายได้ในปีแรกราว 700 ล้านบาทจากอาคารสำนักงาน บ้านจัดสรร ถัดมาอีก 10 ปีบริษัทได้เข้าสู่ทศวรรษที่2 พร้อมสินทรัพย์ในโครงการอสังหาฯที่หลากลายสร้างรายได้กว่า 10,000 ล้านบาท และจากนี้ไปได้เข้าสู่การวิวัฒนาการตัวเองครั้งใหญ่เพื่อไปสู่ทศวรรษที่3 ของเอสซีฯ” ณัฐพงศ์ กล่าว
ปี2567 'คิกออฟ' คน โลก กำไร โตไปด้วยกัน
สำหรับแผนงานในปีแรก (2567) นี้ บริษัทฯ มีแผนร่วมกับพันธมิตรธุรกิจในรูปแบบกิจการร่วมค้า (JVC) ทั้งรายเดิม โตเกียว ทาเทโมโน (Tokyo Tatemono) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ในโครงการที่มีอยู่ก่อนหน้า และพันธมิตรรายใหม่จากญี่ปุ่น พัฒนาในโครงการอสังหาฯ คลังสินค้า และโรงแรม ที่เตรียมจะเปิดตัวในปี 2567 นี้
ขณะเดียวกันยังได้วางโครงสร้างการขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อสร้างรายได้และกำไรมาจาก 2 เครื่องยนต์ (engine) หลัก ประกอบด้วย
Engine1 ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย โดยในปีนี้ จะมีโครงการเพื่อขายทั้งสิ้น 86โครงการ มูลค่ารวม91,000 ล้านบาท แผนเปิดโครงการใหม่รวม 17 โครงการ มูลค่ารวม 30,000 ล้านบาทแบ่งเป็น
โครงการใหม่ แนวราบ 15 โครงการ มูลค่า 25,000 ล้านบาท พร้อมไฮไลท์แบรนด์ใหม่ชื่อ ‘Connoisseur’ (คอนนาเซอร์) มีความหมายในภาษาฝรั่งเศส แปลว่าผู้รู้จริงมีความเชี่ยวชาญ โดยโครงการจะตั้งอยู่ในทำเลพัฒนาการ วางราคาเริ่มต้น 80 ล้านบาท
นอกจากนี้บริษัทฯ ยังวางแผนทำโครงการภายใต้ Sub Brand ต่างๆ ด้วยการออกแบบใหม่ทั้งหมด เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าคนรุ่นใหม่ที่มีความหลากหลายแตกต่างกันออกจากในอดีต ด้วยบ้านไลฟ์สไตล์เฉพาะกลุ่มคนอินโทรเวิร์ต และบ้านเอ็กซโทรเวิร์ต วางระดับราคาตั้งแต่ 3 ล้านบาทถึง 150 ล้านบาท
โดยบริษัทฯ จะนำคอนเซปต์การออกแบบ ตกแต่ง แบ่งพื้นที่มีความเป็นสัดส่วน พร้อมแยกโซนออกไปตามรูปแบบการใช้ชีวิตของกลุ่มลูกค้าทั้ง2 แบบมาอยู่ไว้ในโครงการฯ ที่จะพัฒนาออกมาทำตลาดในปีนี้ ซึ่งการพัฒนาบ้านเอสซีฯ จากนี้ไปจะไม่เหมือนเดิมด้วยวิธีคิด ‘one size doesn’t fit all’ รูปแบบเดียวจะใช้ไม่ได้กับทั้งหมดแล้ว
สำหรับการพัฒนาบ้านไลฟ์สไตล์เพื่อเจาะกลุ่มคนอินโทรเวิร์ต และ เอ็กซโทรเวิร์ต ดังกล่าว ยังมาจากการเก็บข้อมูล(Data)พฤติกรรมเชิงลึกของลูกค้าในการเลือกที่อยู่อาศัยในช่วงโควิด-19 ที่ผ่านมา พบว่ามี 3 ด้าน คือ
- หลายคนชื่นชอบการอยู่บ้านมากกว่าคอนโดมีเนียม โดยมีเทคโนโลยีเข้ามาเพิ่มความสะดวกสบายในชีวิตรวมถึงเทรนด์การดูแลสุขภาพ ทำให้เห็นความสำคัญในการอยู่อาศัยในบ้านมากขึ้น
- กลุ่มไม่ชอบอยู่บ้าน แต่ชอบอาศัยในคอนโดมีเนียมจากทำเลที่สะดวกสบาย เป็นปัจจัยให้เลือกอยู่อาศัยในคอนโดมากกว่า
- กลุ่มที่ต้องการซื้อทั้งบ้านและคอนโด แบ่งตามรูปแบบการใช้ชีวิต เช่น การอยู่อาศัยที่บ้านในวันหยุดสุดสัปดาห์ และ อยู่คอนโด เพื่อความสะดวกใช้ชีวิตในการทำงาน
โดยมองว่า พฤติกรรมดังกล่าวจะยังขยายตัวออกไปอีก ซึ่งถือเป็นความหลากหลายของการทำตลาดอสังหาฯอนาคต ด้วยจะมีทั้งรูปแบบการซื้อ การเช่า และการเป็นสมาขิกรายเดือน (Subscription) และจากข้อมูลดังกล่าวยังสอดคล้องกับความต้องการ (demand) ในตลาดที่อยู่อาศัยในกลุ่มแนวราบและแนวสูง อยู่ที่ 1.5 แสนล้านยูนิต และ 1.7 แสนยูนิต ตามลำดับในปี2566 ที่ผ่านมา
สำหรับ โครงการใหม่แนวสูง 2 โครงการมูลค่า 5,000 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์ Reference บนทำเล เอกมัย วางราคาเริ่มต้น 2.5 ล้านบาท
ณัฐพงศ์ กล่าวต่อสำหรับ Engine 2 จะเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำสม่ำเสมอ (recurring income) ปัจจุบันรวมจำนวนทั้งสิ้น 17 โครงการ จาก 4 ธุรกิจ แบ่งเป็น
1. อาคารสำนักงานให้เช่า มีพื้นที่เช่ารวม 120,000 ตร.ม. จากทั้ง 6 อาคารสำนักงาน
2. โรงแรม มีจำนวนห้องพักรวม 545 คีย์ส (keys) จากโรงแรม 3 โครงการ แบ่งเป็น
- YANH ราชวัตร จำนวน 78 keys (เปิดให้บริการแล้ว)
- Kromo (ครอโม) บริหารโดย Curio Collective by Hilton
ทำเลสุขุมวิท 29 จำนวน 360 keys (เตรียมเปิดให้บริการปลายปี 2567)
ทำเลพัทยา จำนวน 161 keys (เตรียมเปิดต้นปี 2568)
3. คลังสินค้า มีพื้นที่เช่ารวม 160,000 ตร.ม. จากคลังสินค้ารวม 4 โครงการ ดำเนินการแล้วที่ทำเลนครสวรรค์ 16,000 ตร.ม. กำลังจะเปิดในปีนี้และปีหน้าอีก 144,000 ตร.ม 78 . ใน3 ทำเล บางนา กม.20 , บางนา กม.22 และแหลมฉบัง
นอกจากนี้ยังร่วมลงทุนกับสตอเรจ เอเชีย ทำตลาดเชิงรุกเซลฟ์ สตอเรจ (self storage) ภายใต้แบรนด์ i-Store
4. อสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่าในสหรัฐอเมริกา ปัจจุบันมีห้องพักรวม 78 ห้อง ใน 4 ทำเล ใจกลางเมืองบอสตัน
ณัฐพงศ์ กล่าวว่า “สำหรับการทำตลาดในต่างประเทศ บริษัทฯ มองว่าสหรัฐอเมริกายังเป็นตลาดสำคัญจากขนาดความใหญ่ของประเทศที่มีความหลากหลายมากกว่า 50 ตลาดกระจายในแต่ละเมือง/รัฐ ที่ยังน่าสนใจ โดยในช่วงที่ผ่านมาบริษัทเตรียมงบลงทุนไว้ราว 100 ล้านดออลาร์สหรัฐฯ และใช้ไปแล้วราว 80% คาดในอีก1-2 ปีข้างหน้าจะทยอยลงทุนได้ครบ”
โดยในช่วงจังหวะดอกเบี้ยขาขึ้นในขณะนี้ ถือเป็นโอกาสเหมาะสมต่อการลงทุนอสังหาฯในสหรัฐฯ ด้วยในช่วงที่ผ่านมามีโครงการหลายแห่งมาเสนอขายสินทรัพย์ที่บริษัทอยู่ระหว่างเลือกอยู่ และเมื่อสถานการณ์ดอกเบี้ยคลี่คลายคาดว่าในอีก 3 ปีหน้า ก็จะเป็นช่วงที่ดีของการทำตลาด
พร้อมกล่าวต่อถึงการให้ความสำคัญกับบุคลากรในองค์กร โดยมุ่งสร้างคนที่มีความหลากหลายด้วยความสร้างสรรค์ ด้วยจะเป็นกำลังสำคัญผลักดันให้ธุรกิจเติบโตไปพร้อมกัน โดยไม่มีแผนลดจำนวนพนักงานแต่อย่างใดในช่วงที่เศรษฐกิจละลอตัวก็ตาม
นอกจากนี้ บริษัทฯยังมุ่งพันธกิจ #SCeroMission โดยตั้งเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจก 15% จากการดำเนินงานตามปกติในปีนี้ และอยู่ที่ 25% ในปี 2573 จากกระบวนการออกแบบ สร้างทิ้งใช้ จากต้นน้ำถึงปลายน้ำ
จากแผนทั้งหมดจะเป็นส่วนประกอบหลักเพื่อการเติบโตในทศวรรษที่3 ของเอสซีฯ พร้อมวางเป้าหมายยอดขายนิวไฮปี2567 อยู่ที่ 28,000 ล้านบาท แบ่งเป็นแนวราบ 65% แนวสูง 35% และรายได้รวม 26,500 ล้านบาท จากทั้งธุรกิจอสังหาฯ เพื่อขายแนวราบและแนวสูง (engine1) และ ธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำสม่ำเสมอ (engine2) จากในปี 2566 บริษัทมีรายได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 27,945 ล้านบาท
อสังหาฯ ปี67 ยังไหว
ณัฐพงศ์ กล่าวต่อถึงภาพรวมอสังหาฯในปี 2567 มองว่ามีความใกล้เคียงกับปี 2566 ที่ผ่านมา และค่อนข้างมีทิศทางเป็นบวกจากปัจจัย
1. แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่คาดว่าจะเริ่มคลี่คลายในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 คาดส่งผลบวกต่อบรรยากาศเศรษฐกิจมากขึ้น
2. กำลังซื้อจากต่างชาติเริ่มกลับมาในตลาดคอนโดที่เห็นได้อย่างมีนัยสำคัญในปี 2566 ที่ผ่านมา
3. การปรับตัวของผู้พัฒนาโครงการรายใหญ่ มีความระมัดระวังการบริหารความเสี่ยงพอร์ตสินทรัพย์อสังหาฯที่มีอยู่ในมือมากขึ้น ทั้งจากการทำตลาดในโครงการเดิมที่มีอยู่ และการควบคุมการเปิดตัวโครงการใหม่เพื่อไม่ให้เกิดความเสี่ยงต่อการเข้าสู่ภาวะฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ ทำให้มีความแข็งแรงมากขึ้น ขณะที่ผู้พัฒนาฯรายกลางและเล็กเริ่มหายไปจากตลาด
พร้อมกล่าวต่อถึงมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐในภาคอสังหาฯให้เติบโตไปต่อได้ เห็นควรให้พิจารณายกเลิกมาตรการ LTV จาก 3 ปัจจัยหลักในปัจจุบัน คือ
1. ภาวะเก็งกำไรในอสังหาฯได้หมดไปแล้ว
2. ดอกเบี้ยในปัจจุบันสูง และธนาคารก็ระวังตัวมาก โอกาสหนี้เสียลดลง
3. บ้านหลังที่ 2 และ 3 เป็นความต้องการซื้ออยู่อาศัยจริง (Real Demand) ไม่ใช่เก็งการกำไร