ม.หอการค้าฯ เชื่อเศรษฐกิจโตได้ 3-3.5% แม้ไม่มีแจกเงินดิจิทัล รับปัจจัยหนุนจากท่องเที่ยวและส่งออก ขณะที่ความเชื่อมั่นผู้บริโภคดีขึ้นจากมาตรการลดค่าครองชีพของรัฐบาล
รศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เปิดเผยถึงผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคประจำเดือนมกราคม 2567ว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 เนื่องจากผู้บริโภคเริ่มกลับมามีความเชื่อมั่นหลังจากมีการจัดตั้งรัฐบาลและรัฐบาลจัดทำนโยบายลดค่าครองชีพโดยลดค่าไฟฟ้าและค่าน้ำมันตลอดจนมีนโยบายในการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ
นอกจากนี้ผู้บริโภคเห็นว่าการเมืองไทยจะมีเสถียรภาพมากขึ้นในอนาคตหลังจากที่มีการจัดตั้งรัฐบาลสลายขั้วการเมืองต่างๆ ที่มีความเห็นแตกต่างกันโดยที่ความขัดแย้งทางการเมืองน่าจะคลี่คลายลง ส่งผลให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทุกรายการปรับตัวดีขึ้นทุกรายการ
อย่างไรก็ตามผู้บริโภคยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกชะลอตัว สงครามในตะวันออกกลางที่อาจยืดเยื้อบานปลายอาจเป็นปัจจัยที่เพิ่มแรงกดดันของการฟื้นตัวของระบบเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งส่งผลลบต่อการส่งออกของไทยและอาจมีผลกระทบในเชิงลบต่อกำลังซื้อของประชาชนในทุกภูมิภาคในอนาคต
ด้านดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสหางานทำโดยรวม และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตอยู่ที่ระดับ 56.9 59.5 และ 72.2 ตามลำดับ ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 ทุกรายการ เมื่อเทียบกับดัชนีในเดือนธันวาคม 2566 ที่อยู่ในระดับ 56.0 58.7 และ 71.3 ตามลำดับ แสดงว่าผู้บริโภคเริ่มกลับมามีความเชื่อมั่นมากขึ้นเป็นลำดับว่าเศรษฐกิจไทยสามารถกลับมาฟื้นตัวได้หลังมีการจัดตั้งรัฐบาลตั้งแต่เดือนกันยายน 2566 เป็นต้นมา
การปรับตัวดีขึ้นของดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคของผู้บริโภค (Consumer Confidence Index: CCI) ที่ปรับตัวจากระดับ 62.0 เป็น 62.9 เป็นการปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 ซึ่งอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 47 เดือนนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2563 เป็นต้นมา
อย่างไรก็ตามดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคโดยรวมยังคงเคลื่อนไหวคงอยู่ต่ำกว่าระดับ 100 แสดงให้เห็นว่า ผู้บริโภคยังคงเห็นว่าสถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวมยังคงฟื้นตัวช้าค่าครองชีพสูงและการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในประเทศไทยและทั่วโลก ตลอดจนสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน กับอิสราเอลกับฮามาสในฉนวนกาซาอาจยืดเยื้อ ส่งผลกระทบทางจิตวิทยาในเชิงลบต่อกำลังซื้อภายในประเทศ ภาคการท่องเที่ยว ภาคการส่งออก ธุรกิจโดยทั่วไป และการจ้างงานในอนาคต โดยยังคงมีโอกาสบั่นทอนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทั้งในปัจจุบันและในอนาคตได้อย่างต่อเนื่องในระยะอันใกล้นี้
“ดัชนีความเชื่อมั่นฯกลับมาปรับตัวดีขึ้นทุกรายการ แสดงว่า ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่เริ่มกลับมาปรับตัวดีขึ้นจากสถานการณ์การเมืองมีเสถียรภาพมากขึ้น ทำให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคน่าจะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากรัฐบาลสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้ฟื้นตัวขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมอย่างรวดเร็วในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 ภายใต้นโยบายที่ได้ประกาศไว้”
รศ.ดร.ธนวรรธน์ กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้จะมีแรงขับเคลื่อน โดยคาดจะเห็นการฟื้นตัวที่ชัดเจนในไตรมาส 4 โดยเฉพาะความชัดเจนนโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต แต่แม้ไม่มีโครงการดิจิทัลวอลเล็ต เศรษ,กิจก็ยังสามารถเติบโตได้ เนื่องจากมีแรงขับเคลื่อนจากภาคการท่องเที่ยว และภาคการส่งออกที่ต่างปรับตัวดีขึ้นในปีนี้ รวมถึงราคาสินค้าเกษตรที่ต่างปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลดีต่อรายได้เกษตรกร ซึ่งน่าจะทำให้จีดีพีปีนี้เติบโตได้มากกว่า 3% ซึ่งถือเป็นระยะที่ปลอดภัย และมีโอกาสที่จะขยายตัวได้ 3-3.5% ถ้าอยากจะโตให้ได้มากกว่า 4% หนึ่งในนั้นที่จะช่วยให้เศรษฐกิจโตเร็วขึ้น คือการเติมดิจิทัลวอลเล็ตเข้าไป ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้เศรษฐกิจโตเร็วขึ้นได้