เอพีฯวางกลยุทธ์ยืดหยุ่นผ่าน 5 แกนหลัก ปรับจูนแผนธุรกิจให้วิ่งไปต่อบนความท้าทายหนี้ครัวเรือนทะลุ90% สะเทือนอสังหาฯปี67 นำร่องทำเลใหม่กรุงเทพฯ หัวเมืองรองต่างจังหวัด ดันเป้ายอดขาย 5.7 หมื่นล.บาท
วิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ บริษัทเอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ กล่าวว่าบริษัทวางแผนธุรกิจให้มีความพร้อมเพื่อรับมือทุกความท้าทายในทุกสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่อาจส่งผลต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ในไทย ที่คาดว่าจะเริ่มคลี่คลายในช่วงครึ่งหลังปี 2567 นี้ และมีทิศทางดีขึ้น
“ในปีนี้ยังมีหลายปัจจัยลบที่น่าเป็นห่วงต่อเนื่องจากปีที่ผ่าน โดยเฉพาะปัญหาหนี้ครัวเรือนที่สูงมากถึง 90% ส่งผลต่อการฉุดรั้งกำลังซื้อในภาพรวม ส่งผลเศรษกิจในปีนี้เดินหน้าไม่ได้เต็มที่เปรียบเสมือนถนนขรุขระทำให้เครื่องยนต์ที่มีอยู่วิ่งได้ไม่เต็มที่ ซึ่งเอพีฯ ได้โมดิฟายด์เครื่องยนต์ตัวเองรอบด้านเพื่อให้วิ่งได้เร็วบนสถานการณ์ดังกล่าว” วิทการ กล่าว
โดยในปี 2567 บริษัทฯ ได้บริหารพอร์ตธุรกิจโครงการอสังหาฯทั้งแนวราบและแนวสูงให้มีคามสมดุล พร้อมเปิดโครงการรวมทั้งสิ้น 212 โครงการ แบ่งเป็นโครงการพัฒนาใหม่ จำนวน 48 โครงการ มูลค่าประมาณ 58,000 ล้านบาท
- บ้านเดี่ยว 15 โครงการ มูลค่า 23,000 ล้านบาท ทาวน์โฮมและบ้านแฝด 23 โครงการ มูลค่า 19,300 ล้านบาท ปัจจุบันมี 3 แบรนด์ในเครือ คือ บ้านกลางเมือง คลาสเซ่, บ้านกลางเมือง ดิ อิดิชั่น และ แกรนด์ พลีโน่ ชูจุดขายหน้ากว้างถึง 14.7 เมตร เริ่ม 3.19 ล้านบาท
- คอนโดมิเนียม 6 โครงการ มูลค่า 12,500 ล้านบาท ประกอบด้วย ASPIRE Arun Prive จำนวน 119 ยูนิต มูลค่า 500 ล้านบาท เปิดตัวไตรมาส2, ASPIRE Huai khwang (โครงการร่วมทุน) จำนวน 1,274 ยูนิต มุลค่า 4,800 ล้านบาท เปิดตัวไตรมาส 2, ASPIRE Itsaraphap Station จำนวน 270 ยูนิต มูลค่า 800 ล้านบาท เปิดตัวไตรมาส2, LIFE CharoennakornSathorn จำนวน 580 ยูนิต มูลค่า 2,500 ล้านบาท เปิดตัวไตรมาส 2, ASPIRE Chatuchak Interchange (โครงการร่วมทุน) จำนวน 677 ยูนิต มูลค่า 2,400 ล้านบาท เปิดตัวไตรมาส 3 และ ASPIRE Condo มูลค่า 1,500 ยูนิต เปิดตัวไตรมาส4
- โครงการในต่างจังหวัด 4 โครงการ มูลค่า 3,200 ล้านบาท ภายใต้แบนรนด์ ‘อภิทาวน์’
- โครงการที่อยู่ระหว่างการขาย (ongoing projects) จำนวน 164 โครงการ
วิทการ กล่าวว่า “ในปีนี้บริษัทฯ ยังได้เริ่มพัฒนาโครงการในทำเลใหม่ๆ ทั้งในกรุงเทพฯ อย่างโซนปิ่นเกล้า และ ต่างจังหวัดในหัวเมืองรอง เช่น สุพรรณบุรี ระยอง สงขลา และอีกหนึ่งจังหวัดใหม่อยู่ระหว่างพิจารณาทำเล ด้วยเอพีฯ มองเห็นโอกาสทางศักยภาพทำเลดังกล่าวที่ยังเป็นบลูโอเชียน มีคู่แข่งไม่มากรายแต่เป็นตลาดที่มีความต้องการอย่างต่อเนื่อง"
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้นำร่องเปิดตลาดใหม่บ้านระดับซูเปอร์ลักซูรีราคา 100 ล้านบาทขึ้นไปเป็นครั้งแรก ภายใต้แบรนด์ The Palazzo คฤหาสน์หรูรูปแบบใหม่ บนพื้นที่ใช้สอยมากกว่า 1,000 ตร.ม. ใน 2 ทำเล ย่านกรุงเทพกรีฑาและปิ่นเกล้า และแบรนด์บ้านกลางกรุง บ้านเดี่ยวในเมือง ทำเลสาธุประดิษฐ์ โดยทั้งหมดจะเปิดตัวในช่วงครึ่งหลังปีนี้ พร้อมพัฒนาแบบบ้านแบรนด์ The Citi, Centro และ Moden อีกกลุ่มแบรนด์สินค้าหลักที่ประสบความสำเร็จมาอย่างต่อเนื่อง
โดยแผนดังกล่าวยังเป็นไปส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ EMPOWER TOGETHER พร้อมให้ความสำคัญการดำเนินธุรกิจที่ครอบคลุม 5 ด้าน คือ
- การบริหารจัดการกระแสเงินสด
- พอร์ตสินค้าที่หลากหลาย
- การบริหารจัดการคน โครงสร้างองค์กร ด้วยขั้นตอนดำเนินการ (Process) ที่แม่นยำ
- พันธมิตรทางธุรกิจ
- การบริหารจัดการตลอดห่วงโซ่อุปทาน (Supplychain Management)
ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังมีกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งจากการมีวินัยทางการเงิน โดยรักษาสัดส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนไม่เกิน 0.79 เท่า เพื่อให้มีสภาพคล่องทางการเงินเพียงพอสนับสนุนธุรกิจในระยะยาว จากตลาดเงินที่พร้อมเปิดกว้างต้อนรับบริษัทฯ โดยเมื่อต้นปีบริษัทฯ ได้ชำระหุ้นกู้มูลค่า 2,500 ล้านบาทเสร็จสิ้นตามกำหนดเป็นที่เรียบร้อย และในเวลาเดียวกันหุ้นกู้ออกใหม่มูลค่า 3,500 ล้านบาท ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม (over subscription)
นอกจากนี้ยังมีวงเงินสินเชื่อพร้อมเบิกใช้ (available credit line) จากสถาบันทางเงินที่ให้วงเงินแก่บริษัทฯ มากถึง 12,700 ล้านบาท รวมถึงเม็ดเงินการลงทุนจากพันธมิตรทางธุรกิจอย่างมิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป ผ่านทุนจดทะเบียนบริษัทลูกที่มากถึง 12,619 ล้านบาท สำหรับการลงทุนพัฒนาคอนโดมิเนียมในประเทศไทยร่วมไปกับเอพี และรายได้จากการขายและโอนอสังหาริมทรัพย์ (cash inflow) ที่กระจายความเสี่ยงไปในทุกเซกเมนต์กว่า 200 โครงการ ตามเป้าหมายการรับรู้รายได้ในปีนี้มูลค่า 53,700 ล้านบาท ที่จะทยอยเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
โดยปี 67 บริษัทตั้งเป้ายอดขาย 57,000 ล้านบาท และเป้ารับรู้รายได้ที่ 53,700 ล้านบาท จากในปี 2566 บริษัทฯ ปิดยอดขายสูงสุด 51,390 ล้านบาท มีรายได้รวมกว่า 48,757 ล้านบาท กำไรสุทธิ 6,054 ล้านบาท