ม.หอการค้าฯมองท่องเที่ยวพยุงเศรษฐกิจฟื้นตัว จับตาจัดงานสงกรานต์ 21 วัน กระตุ้นการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ขณะที่ดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภคดีขึ้นเป็นเดือนที่ 7 สูงสุดในรอบ 48 เดือน
ร.ศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยในฐานะประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เปิดเผยถึง การจัดงานมหาสงกรานต์ในช่วงเดือนเม.ย.ระหว่างวันที่ 1-21 เม.ย. คาดการณ์จะทำให้มีเงินสะพัดเพิ่ม 5 หมื่นล้านบาท เนื่องจากปีนี้มีจัดงานถึง 21 วัน โดยประเมินจากนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาเพิ่มอีก 1-1.5 ล้านคนเฉลี่ยเงินคนละ 4.2 หมื่นบาท ซึ่งแต่ละปีเม็ดเงินที่จะเกิดขึ้นในช่วงสงกรานต์จะมีเงินสะพัด1.3-1.4 แสนล้านบาท
ทั้งนี้บรรยากาศท่องเที่ยวที่คึกคักต่อเนื่องเมื่อรวมกับเทศกาลสงกรานต์ที่จะเกิดขึ้นส่งผลให้ภาคท่องเที่ยวหนุนภาคบริการและทำให้เศรษฐกิจไทยไตรมาสสองเติบโตได้ 2.-2.5% จากไตรมาสแรกที่คาดว่าจะเติบโตใกล้เคียง 2%
สำหรับการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 อยู่ที่ ระดับ 63.8 สูงสุดในรอบ 48 เดือนนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2563 เป็นต้นมา โดยมีปัจจัยจากผู้บริโภคเริ่มกลับมามีความเชื่อมั่นหลังจากมีการจัดตั้งรัฐบาลและรัฐบาลจัดทำนโยบายลดค่าครองชีพโดยลดค่าไฟฟ้าและค่าน้ำมัน ตลอดจนมีนโยบายในการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ นอกจากนี้ผู้บริโภคเห็นว่าการเมืองไทยมีเสถียรภาพมากขึ้น ส่งผลให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทุกรายการปรับตัวดีขึ้นทุกรายการ
อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกชะลอตัว สงครามในตะวันออกกลางที่อาจยืดเยื้อบานปลาย อาจเป็นปัจจัยที่เพิ่มแรงกดดันของการฟื้นตัวของระบบเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งส่งผลลบต่อการส่งออกของไทยและอาจมีผลกระทบในเชิงลบต่อกำลังซื้อของประชาชนในทุกภูมิภาคในอนาคต
ขณะที่ผู้บริโภคมองว่าเศรษฐกิจโดยรวมยังคงฟื้นตัวช้าค่าครองชีพสูงและการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในประเทศไทยและทั่วโลก ตลอดจนสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน กับอิสราเอลกับฮามาสในฉนวนกาซาอาจยืดเยื้อ ส่งผลกระทบทางจิตวิทยาในเชิงลบต่อกำลังซื้อภายในประเทศ ภาคการท่องเที่ยว ภาคการส่งออก ธุรกิจโดยทั่วไป และการจ้างงานในอนาคต โดยยังคงมีโอกาสบั่นทอนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทั้งในปัจจุบันและในอนาคตได้อย่างต่อเนื่องในระยะอันใกล้นี้
การที่ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคกลับมาปรับตัวดีขึ้นทุกรายการ แสดงว่า ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่เริ่มกลับมาปรับตัวดีขึ้นจากสถานการณ์การเมืองมีเสถียรภาพมากขึ้น ทำให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคน่าจะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากรัฐบาลสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้ฟื้นตัวขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมอย่างรวดเร็วในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 ภายใต้นโยบายที่ได้ประกาศไว้