ส.อ.ท.ขับเคลื่อนพัฒนาอุตสาหกรรมเอทานอลสร้างรายได้เกษตรกรปลูกพืชพลังงาน หนุนเปิดเสรีเอทานอลบริสุทธิ์ ปรับ E20 เป็นน้ำมันพื้นฐานเพิ่มปริมาณการใช้
นายอิศเรศ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่าส.อ.ท.ได้นำเสนอแนวทางขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ BCG (BCG Economy Model : Thailand Ethanol Hub) เพื่อสนับสนุนนโยบายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ผ่านการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 เพิ่มมากขึ้น รวมทั้งน้ำมันอากาศยานยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel : SAF) ไบโอเอทิลีน (Bio ethylene) สำหรับไบโอพลาสติก
ตลอดจนอุตสาหกรรมสมุนไพรสกัด อุตสาหกรรมยา เครื่องสำอาง และผลิดภัณฑ์ทำความสะอาด เป็นต้น เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ที่กำหนดในการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 26 หรือ COP26 (Conference of the Parties) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ปัญหาวิกฤตการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) และวิกฤตการณ์โลกเดือด (Global Boiling) โดยมีแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศสู่ธุรกิจ BCG Economy Model และมีการนำแนวทาง ESG (Environmental, Social and Governance) มาใช้เพื่อความยั่งยืน
ทั้งนี้ได้นำเสนอแนวทางการขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมเอทานอลไปยังภาครัฐแล้ว ดังนี้
1.ปรับเปลี่ยนและเพิ่มวัตถุดิบทางเลือกในการผลิตเอทานอล เพื่อลดต้นทุน เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน และสร้างรายได้เพิ่มให้เกษตรกร
2.เปิดเสรีเอทานอลบริสุทธิ์ เพื่อเปิดโอกาสในการสร้างมูลค่าเพิ่มของเอทานอล สินค้าและอุตสาหกรรมมูลค่าสูงในประเทศด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG
3.ลดการส่งออกสินค้า commodities ผลิตสินค้ามูลค่าสูง และช่วยลดการปลดปล่อยคาร์บอน นำพาประเทศไปถึงเป้าหมาย Carbon Neutrality และ Net Zero
4.ส่งเสริมการใช้ E20 เป็นน้ำมันเบนซินพื้นฐาน ในแผนบริหารจัดการน้ำมันเชื้อเพลิง (Oil Plan 2567 - 2580)
ดร.เสกสรรค์ พรหมนิช ประธานคณะทำงานย่อยพัฒนาอุตสาหกรรมเอทานอลด้านเชื้อเพลิงเอทานอล กล่าวว่า ได้นำเสนอแนวทางการส่งเสริมการเปิดเสรีเอทานอล เพื่อเพิ่มโอกาสในการพัฒนาตามห่วงโซ่มูลค่าของอุตสาหกรรมเอทานอลไทย และยังเป็นการส่งเสริมวัตถุดิบจากเกษตรกรไทย ซึ่งเอทานอลสามารถนำไปต่อยอด และนำไปประยุกต์กับให้กับอุตสาหกรรมต่างๆ
นอกจากนี้เอทานอลสามารถนำไปผลิตเป็นเชื้อเพลิงต่างๆ เช่น เชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืน (SAF) โดยส.อ.ท.อยู่ระหว่างศึกษาและดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อจัดทำมาตรฐานความยั่งยืนของวัตถุดิบของไทย ซึ่งให้ผ่านการรับรองจาก ICAO (International Civil Aviation Organization) สำหรับนำไปผลิตเป็นเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (SAF)
นอกจากนี้ส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 ในแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก (AEDP) ฉบับใหม่ ซึ่งจะทำให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศ โดยเพิ่มการใช้เชื้อเพลิงเอทานอลเป็น 6.2 ล้านลิตร/วัน หรือ 2,270 ล้านลิตร/ปี ช่วยลดการใช้น้ำมันเบนซิน 1,475 ล้านลิตร คิดเป็นมูลค่า 33,940 ล้านบาท/ปี ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 2.58 mtCO2eq สนับสนุน Carbon Neutralityและ ลดการปล่อยมลพิษจากท่อไอเสียทั้ง PM2.5 CO VOCs HCs และ Benzene
ขณะเดียวกันสนับสนุน เกษตรกรผู้ปลูกอ้อยและมันสำปะหลังกว่า 1 ล้านครัวเรือน เพิ่มมูลค่าอ้อยและมันสำปะหลัง เศรษฐกิจหมุนเวียนในประเทศกว่า 174,000 ล้านบาท
ด้านนางเกศมณี เลิศกิจจา ประธานคลัสเตอร์อุตสาหกรรมสุขภาพและความงาม และประธานคณะทำงานย่อยพัฒนาเอทานอลเกรดอุตสาหกรรม ได้นำเสนอการใช้ประโยชน์จากเอทานอลในปัจจุบัน นอกเหนือจากการนำไปเป็นพลังงานแล้ว สามารถใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมอื่นได้หลายสาขา เช่น อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ยา สมุนไพร น้ำยาทำความสะอาดเครื่องมือแพทย์และเครื่องสำอาง
รวมทั้งงานวิจัยต่อยอดและนวัตกรรมในกลุ่มเศรษฐกิจชีวภาพ (Bio-Economy) เป็นต้น ประกอบกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 (COVID-19) ทำให้เกิดวิถีการดำเนินชีวิตใหม่ที่เปลี่ยนไปจากเดิม โดยมีความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโรคที่มีส่วนผสมของเอทานอลมากขึ้น ซึ่งความต้องการใช้เอทานอลของภาคอุตสาหกรรมอยู่ที่ 76.37 ล้านลิตรต่อปี เพื่อนำไปเป็นวัตถุดิบในการผลิตยา ผลิตภัณฑ์สมุนไพร เครื่องสำอาง เครื่องมือแพทย์ และใช้ชะล้างทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโรค เป็นต้น ซึ่งโรงงานเอทานอลเกรดเชื้อเพลิงหลายแห่งในปัจจุบัน สามารถผลิตเอทานอลเกรดอุตสาหกรรมดังกล่าวป้อนสู่ตลาด ทดแทนการนำเข้าได้ทันที
อย่างไรก็ตามกลุ่มอุตสาหกรรมทั้งหมดเล็งเห็นว่าความต้องการใช้เอทานอลได้กลายเป็นความต้องการถาวร และมีโอกาสเติบโตในระยะยาว และหากเป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ผู้ประกอบการจำเป็นต้องพึ่งพาการนำเข้าเอทานอลเป็นหลัก ในขณะที่ไทยมีความสามารถและกำลังการผลิตมาสนองความต้องการเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
ดังนั้นภาครัฐจะต้องอำนวยความสะดวก (Ease of doing Business) โดยการทบทวนกฎหมายที่เกี่ยวข้องตามข้อเสนอของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เพื่อให้สามารถสนับสนุนและตอบสนองต่อความต้องการของตลาด และพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันให้ผู้ประกอบการของไทย