กรุงศรี คอนซูมเมอร์ สะท้อนเศรษฐกิจไทย ยอดรูดปรี๊ดม.ค.-ก.พ.67 โต 10% ‘คนไทย’ ยังห่วงสภาพคล่อง มากกว่าดอกเบี้ย

กรุงศรี คอนซูมเมอร์ สะท้อนเศรษฐกิจไทย ยอดรูดปรี๊ดม.ค.-ก.พ.67 โต 10% ‘คนไทย’ ยังห่วงสภาพคล่อง มากกว่าดอกเบี้ย
กรุงศรีฯ แผนปี67 เติบโตแข็งแกร่งต่อเนื่องด้วย 4 กลยุทธ์หลัก พร้อมขยายฐานคนรุ่นใหมเพิ่ม หลังพบพฤติกรรมใช้ก่อนจ่ายทีหลัง-ขอสินเชื่อ โตแรง วางเป้าสิ้นปีบัตรใหม่โต 8% ใช้จ่ายบัตรเครดิตกว่า 3.93 แสนล.บาท

อธิศ รุจิรวัฒน์  กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจเนอรัล คาร์ด เซอร์วิสเซส จำกัด ผู้ให้บริการผลิตภัณฑ์ สินเชื่อเพื่อการผ่อนชำระ สินเชื่อส่วนบุคคล รวมถึงธุรกิจนายหน้าประกันชีวิตและประกันวินาศภัย และบัตรเครดิต ภายใต้กลุ่มธุรกิจกรุงศรี คอนซูมเมอร์ กล่าวว่ากรุงศรีฯ เตรียมความพร้อมปรับกระบวนการให้บริการผลิตภัณฑ์ต่างๆสำหรับลูกค้าให้สอดคล้องกับแนวทางการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible lending) ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อยู่ระหว่างร่างหลักเกณฑ์ฯ

ทั้งนี้เพื่อมีส่วนร่วมรองรับสถานการณ์เศรษฐกิจไทยในขณะนี้ที่อยู่ในรูปทรงตัวเค (K Shape) มีการเติบโตสูงในบางกลุ่มประชากร ขณะที่กลุ่มฐานล่างได้รับผลกระทบโดยเฉพาะจากปัญหาหนี้เรื้อรัง (Persistent debt) รวมถึงจากปัญหาหนี้ครัวเรือนไทยในปัจจุบันอยู่ในระดับสูงราว 90%  ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อกลุ่มเป้าหมายผลิตภัณฑ์ของกรุงศรีฯ ด้วยเช่นกัน

โดยกรุงศรีฯ ยังให้ความร่วมมือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ตามมาตรการช่วยเหลือกลุ่มลูกหนี้เรื้อรังผ่านโปรแกรมเดียวกันกับธปท. โดยจะเสนอดอกเบี้ยอัตราพิเศษ 15% ให้ผ่อนชำระ 5 ปี รวมถึงในกลุ่มลูกค้าที่ต้องการปิดวงเงินสินเชื่อส่วนบุคคล (Personal Loan) ที่ประสงค์เข้าร่วมโครงการปรับปรุงอัตราดอกเบี้ยวงเงินสินเชื่อ (Refinance) ซึ่งหากลูกค้าต้องการปิดบัญชีก่อนกำหนดจะยังไม่เสียค่าธรรมเนียมอีกด้วย โดยเตรียมแผนทยอยสื่อสารกับลูกค้าในวันที่ 1 เมษายน นี้ ไปพร้อมกับ ธปท.  

สำหรับแนวโน้มหนี้เสียในกลุ่มผลิตภัณฑ์กรุงศรีฯ ในปัจจุบันมีอัตราหนี้เสียผลิตภัณฑ์ราว 1.14% และ สินเชื่อส่วนบุคคลราว 2.5%  ซึ่งกรุงศรีฯ ยังสามารถรับมือได้พร้อมมองเป็นโอกาสในการให้บริการเพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าที่มีคุณภาพด้านฐานรายได้มากกว่า จากจุดแข็งองค์กรซึ่งเป็นหนึ่งในผู้บริหารจัดการด้านการเงินที่ดีที่สุดในอุตสาหกรรม ที่ได้การสนับสนุนจากบริษัทแม่ MUFG  ประเทศญี่ปุ่น

“แนวโน้มสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน พบว่าลูกค้ามีความต้องการสภาพคล่องด้านเงินสดเพื่อการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันหรือในภาวะฉุกเฉินซึ่งจะมีความสำคัญมากกว่าอัตราดอกเบี้ย ปัจจุบันกรุงศรีฯ มีสัดส่วนลูกหนี้เรื้อรังไม่ถึง 10% ของฐานลูกค้าทั้งหมดและยังเป็นสัดส่วนที่ยังสามารถบริหารจัดการได้” อธิศ กล่าว

ขณะเดียวกันจากการปรับเกณฑ์เรียกเก็บการผ่อนชำระขั้นต่ำอัตรา5 % เป็น 8% และจะปรับเต็มรูปแบบ 10% ราวปี2568 นั้น คาดว่าอาจส่งผลกระทบต่อการชำระเงินของลูกค้าที่เริ่มเห็นการผิดชำระที่ชัดเจนมากขึ้น ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ปีนี้ที่ผ่านมา

4 กลยุทธ์ปี67 โตแกร่งรอบด้าน

อธิศ กล่าวถึงผลประกอบการในปี 2566 ที่ผ่านมา กรุงศรีคอนซูเมอร์ มีอัตราเติบโตแข็งแกร่งด้วยยอดใช้จ่ายผ่านบัตร 365,000 ล้านบาท เติบโต 10%  โดยมี 5 อันดับหมวดสินค้าใช้จ่ายผ่านบัตรฯสูงสุดเรียงตามลำดับยอดใช้จ่าย ดังนี้

  1. ประกันภัย
  2. ปั๊มน้ำมัน
  3. ช็อปออนไลน์และกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์
  4. ตกแต่งบ้านและเครื่องใช้ในครัวเรือนฃบ
  5. ไฮเปอร์มาร์ทและซูเปอร์มาร์เก็ต

นอกจากนี้ยังมี 5 อันดับสินค้าบริการที่มีอัตราเติบโตสูงสุด ดังนี้

  1. ตัวแทนท่องเที่ยว เติบโต 83%
  2. สายการบิน เติบโต 54%
  3. โรงแรมและรถเช่า เติบโต 30%
  4. ค่าสาธารณูปโภค เติบโต 27%
  5. อาหารและเครื่องดื่ม เติบโต20%

จากการเติบโตดังกล่าวยังต่อเนื่องถึงช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2567 พบว่า

  • ยอดใช้จ่ายผ่านบัตร 62,000 ล้านบาท เติบโต 10%
  • ยอดสินเชื่อใหม่ 15,000 ล้านบาท เติบโต 8%
  • ยอดสินเชื่อคงค้าง 142,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% 

อธิศ กล่าวต่อว่าทิศทางดังกล่าวยังสอดคล้องกับการดำเนินธุรกิจในปี 2567 นี้ได้วางเป้าหมายการเติบโตอย่างแข็งแกร่งต่อเนื่องจากปีก่อน ภายใต้ 4 กลยุทธ์หลัก สำคัญ คือ 1. Grow Core Business เร่งความเติบโตบนธุรกิจหลัก 2. Expand Partnership Ecosystem ขยายระบบนิเวศพันธมิตร 3.Foster Product Innovations ส่งเสริมนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ 4.X-Group Synergies ความร่วมมือภายในและระหว่างเครือ  

พร้อมให้ความสำคัญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์บริการต่างๆ ที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตในกลุ่มคนรุ่นใหม่ให้แข็งแรงขึ้น ด้วยจะเป็นกลุ่มที่เข้ามาเทดแทนฐานลูกค้าเดิมที่มีอายุมากขึ้นตามแนวโน้มการเข้าสู่สังคมสูงวัยของประเทศไทย เช่นเดียวกัน

โดยวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้จ่ายผ่านผลิตภัณฑ์บัตรต่างๆในกลุ่มกรุงศรีฯ ทีพบว่ากลุ่มลูกค้ากลับมาใช้จ่ายใน 3 หมวดสูงสุดมากขึ้น และใช้จ่ายในกลุ่มผลิตภัณฑ์เรือธง (Flagship Product) บัตรเครดิตและ สินเชื่อส่วนบุคคล ซึ่งกรุงศรีฯ จะเร่งเติบโตไปพร้อมกับการขยายพันธมิตรในระบบนิเวศ ที่ปัจจุบันมีมากกว่า 400 ราย และในปีนี้วางเป้าหมายเพิ่มเป็น 600 ราย ในปีนี้

“กรุงศรีฯ ยังจะนำนวัตกรรม เทคโนโลยีการใช้จ่ายบัตรด้วยแกดเจ็ต ต่างๆ เพื่อให้ลูกค้ากลุ่มคนรุ่นใหม่ มีทางเลือกมากขึ้น อาทิ สมาร์ทวอชท์ นาฬิกาอัจฉริยะ หรือการใช้จ่ายในรูปแบบ ดิจิทัล เปย์ โลน ฯลฯ เพื่อรองรับไลฟ์สไตล์กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่จะขยายตัวมากขึ้น” อธิศ กล่าว 

ด้าน อธิป ศิลป์พจีการ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานบริหารธุรกิจกรุงศรีเฟิร์สช้อยส์ บริษัท อยุธยา แคปปิตอล เซอร์วิสเซส จำกัด ผู้ให้บริการบัตรกรุงศรีเฟิร์สช้อยส์ กล่าวว่า ปัจจุบัน บริษัทฯ ให้บริการผลิตภัณฑ์ด้านสินเชื่อส่วนบุคคล บริการผ่อนชำระ และบัตรเครดิต ในกลุ่มผู้บริโภคคนรุ่นใหม่วัยเริ่มต้นทำงานและวัยทำงาน คิดเป็นสัดส่วนราว 50% และมีการเติบโตมากกว่า 20-30%  โดยกลุ่มสินค้าที่มีการจับจ่ายมากที่สุดในปัจจุบันจะเป็นกลุ่มการเดินทางท่องเที่ยว เฉลี่ยค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 30,000 บาทต่อการทำธุรกรรมต่อคน และ สินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้า เฉลี่ย 10,000 บาทต่อการทำธุรกรรมต่อคน

ทั้งนี้ จากการเก็บข้อมูลพบว่า ฐานลูกค้ากลุ่มนี้จะเป็นวัยเริ่มต้นทำงาน มีฐานเงินเดือน2 หมื่นบาทขึ้นไป และเป็นลูกค้าทั่วไปในวงกว้าง (Mass) โดยเฉพาะในกลุ่มเจนเนอเรชันซี และ วาย (GenZ, Y) คิดเป็นสัดส่วนราว 30% ในปัจจุบัน ซึ่งนิยมใช้จ่ายผ่านบัตรกรุงศรี เดอะวัน เรด รวมถึงมีพฤติกรรมนิยมการใช้ก่อนจ่ายทีหลัง (Pay later) ด้วยอัตราดอกเบี้ย0% ในหมวดหมู่สินค้าบริการ ด้านตัวแทนการท่องเที่ยว สายการบิน จองโรงแรมที่พัก รวมถึงสินค้าอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า ของใช้ ของแต่งบ้าน ชิ้นใหญ่ ประเภทต่างๆ โดยชำระผ่านบัตรเครดิตที่ร่วมกับพันธมิตรร้านค้า (Co-Branding) ต่าง ๆ อาทิ โฮมโปร เพาเวอร์บาย เป็นต้น ที่ปัจจุบันกรุงศรีฯ มีพันธมิตร 

"ลูกค้ากลุ่มนี้จะเป็นอีกหนึ่งฐานผู้ใช้บริการสำคัญของบริษัทฯ ที่จะมุ่งทำตลาดมากขึ้นนับจากนี้ไป" อธิป กล่าว   

ทั้งนี้ จากกลยุทธ์ดังกล่าว คาดจะผลักดันให้ธุรกิจไปสู่เป้าหมายมียอดบัตรเครดิตใหม่ อยู่ที่ 365,000 บัตร โต 8% เทียบปี 2566 ยอดใช้จ่ายบัตรเครดิต 393,000 ล้านบาท โต 8% จากปีก่อน ยอดสินเชื่อใหม่ 100,000 ล้านบาท โต 9% เทียบปีก่อน และมียอดสินเชื่อคงค้าง 151,000 ล้านบาท ขยายตัว2% เทียบปีก่อน เช่นกัน