พลังงานอั้นไม่ไหวปล่อยดีเซลทะลุ 30 บาท หลังกองทุนน้ำมันฯแบกหนี้พุ่งแสนล้าน ลุ้นคลังต่อมาตรการลดภาษีสรรพสามิต เชื่อปัจจัยเศรษฐกิจฟื้นตัวเม.ย.นี้ช่วยปรับสมดุล

แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า แนวทางการปรับขึ้นราคาดีเซลภายหลังคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) มีมติให้ปรับอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ประเภทน้ำมันดีเซลเพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศเกิน 30 บาท/ลิตรได้ตั้งแต่เดือนเมษายน 2567 เป็นต้นไป  นั้น จะพิจารณาบนพื้นฐาน 2  ปัจจัยหลัก คือ 1.แนวโน้มราคาน้ำมันตลาดโลกอาจปรับลดลงมาได้  และ 2.ภาพรวมเศรษฐกิจเริ่มมีการฟื้นตัวขึ้นมาจากนโยบายรัฐบาลรวมถึงงบประมาณใหม่ที่จะเริ่มออกในเดือนเม.ย. รวมถึงต้องรอการพิจารณาจากกระทรวงการคลังในการต่อระยะเวลาลดภาษีสรรพสามิตดีเซล ที่จะสิ้นสุดในวันที่ 19 เม.ย. นี้ จะดำเนินการได้แค่ไหน  

ทั้งนี้ต้องยอมรับว่าหนี้กองทุนน้ำมันฯติดลบ 98,220 ล้านบาท ถูกสะสมมาเป็นเวลานาน จากมาตรการลดค่าครองชีพรัฐบาล โดยเฉพาะการตรึงดีเซล 30 บาท และ ตรึงราคาก๊าซหุงต้ม(LPG)  ซึ่งมีแนวโน้มที่กองทุนน้ำมันฯจะติดลบทะลุ 1 แสนล้านบาทเร็วๆนี้

ทางออกในการบริหารจัดการภาระที่เกิดขึ้นจำเป็นต้องทยอยยกเลิกการอุดหนุนราคาดีเซล จากปัจจุบันที่ต้องใช้เงินกองทุนน้ำมันฯตรึงราคาไว้ลิตรละ 4.17 บาท  หรือมีรายจ่ายเดือนละ 7-8 พันล้านบาท  ซึ่งทางสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง(สกนช.)ได้จัดทำแนวทางการปรับขึ้นราคาดีเซลไว้แบบขั้นบันไดในช่วงช่วงจังหวะที่เหมาะสม รอบละไม่เกิน 1 บาทต่อลิตรเพื่อไม่ให้กระทบต่อประชาชนจนเกินไป ซึ่งการขยับราคาดีเซลครั้งแรกน่าจะเกิดขึ้นช่วงหลังสงกรานต์ไปแล้ว

อย่างไรก็ตามตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2566 มีมติเห็นชอบมาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้แก่ประชาชน โดยตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2567 ซึ่งกระทรวงพลังงานและกระทรวงการคลังร่วมกันบริหารจัดการราคาขายปลีก โดยใช้กลไกของภาษีสรรพสามิตและกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง แต่ขณะนี้สถานการณ์ราคาน้ำมันดีเซลในตลาดโลกยังผันผวนอยู่ในระดับ 104.03 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล (เฉลี่ยวันที่ 1 – 20 มี.ค.67)  ่จึงจำเป็นต้องมีการพิจารณาปรับอัตราเงินกองทุนฯ ประเภทน้ำมันดีเซล เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลภายในประเทศสอดคล้องกับราคาตลาดโลกมากขึ้น