สายการบินรับสัญญาณฟื้น ห่วงแรงงานขาดกระทบผู้โดยสาร

สายการบินรับสัญญาณฟื้น ห่วงแรงงานขาดกระทบผู้โดยสาร
สมาคมการบินฯถอดบทเรียนโควิด เผชิญปัญหาขาดแรงงานหลังถูกมองไม่ใช่อาชีพมั่นคง ขออีก 2 ปี อุตสาหกรรมการบินกลับมาสดใส เหตุนักท่องเที่ยวยังปักหมุดเที่ยวไทย

อุตสาหกรรมการบินของไทยมีสัญญาณที่ปรับตัวดีขึ้น หลังต้องเจอกับวิกฤตจากสถานการณ์โควิด ประเมินกันว่าจะได้เห็นทุกอย่างกลับเข้าสู่โหมดปกติได้ในอีก 2 ปี ข้างหน้า  แต่ปัจจัยเสี่ยงที่ขณะนี้กำลังเผชิญอยู่คือ การขาดแคลนบุคคลากร

ทั้งนี้ต้องยอมรับในช่วง 1-2 ปีของโควิด เหลือจำนวนบุคคลากรที่ทำงานด้านสายการบินเหลือเพียง 8 หมื่นคน จากเดิมที่มีอยู่กว่า 2 แสนคน

พุฒิพงศ์  ปราสาททองโอสถ  กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัทการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ในฐานะนายกสมาคมการบินประเทศไทย ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ สำนักข่าว The Better ว่า ถึงทิศทางอุตสาหกรรมการบินว่า  หลังสถานการณ์ต่างๆเริ่มคลี่คลายการระบาดของโควิดน้อยลง แต่ละประเทศเริ่มผ่อนคลายมาตรการการเดินทางมากขึ้น ส่งผลให้มีการเดินทางมากขึ้น โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวต่างชาติยอยเข้ามาในไทย ตั้งแต่ไตรมาส4 /2565 และเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนถึงเดือนม.ค-ก.พ. 2566

ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการรัฐบาลจีนปลดล็อค มีการเปิดประเทศ ขณะที่ทางญี่ปุ่น ผ่อนคลายมาตรการ ส่งผลให้ 2 เดือนแรกของปี มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไทย 4 -5 ล้านคนเทียบกับเมื่อปี 2562 และ ปี 2565 ขยายตัวเพิ่มขึ้น 50-60% โดยคาดการณ์ปีนี้จะเติบโตถึง 75%  ขณะที่การเดินทางภายในในประเทศปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน ซึ่งใกล้เคียงกับเมื่อปี 2562

หลายคนอาจมองว่านักท่องเที่ยวที่เดินทางเพิ่มขึ้นมาจากการเปิดประเทศของจีน แต่เท่าที่ประเมินดูแล้วนักท่องเที่ยวจีนที่เข้ามา ยังไม่มากนัก จะเป็นลักษณะทยอยการเดินทางมากกว่า เนื่องจากต้องให้เวลาในการเตรียมตัว เตรียมเอกสาร ต่างๆ โดยแนวโน้มที่เห็นมีการตอบรับที่ดี  เริ่มมีการขอเที่ยวบินเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นชัตเตอร์ไฟล์ท หรือการเพิ่มจำนวนเที่ยวบินจากจีน   เพราะที่ผ่านมาหยุดทำการบินไปนาน ดังนั้นต้องมีการเจรจาสิทธิการบิน จุดบินต่างๆ ซึ่งไม่ได้เร็วอย่างที่คาดหวัง

แรงงานหาย ออกแล้วไม่กลับมา

นอกจากนี้ปัญหาที่ยังต้องใช้เวลาในการแก้ไขคือ ขาดแคลนบุคคลากรด้านการบิน ซึ่งช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา หายไปค่อนข้างเยอะทุกๆด้าน  โดยส่วนสำคัญที่สายการบินพยายามรักษาไว้ คือ นักบิน   แต่ด้านอื่นๆ ที่ต้องทำงานร่วมกันเพื่อให้เกิดงานบริการของเที่ยวบิน เช่นพนักงานภาคพื้น พนักงานดูแลกระเป๋า รวมถึงการทำงานในส่วนที่ดูแลภาคพื้น งานตั๋วโดยสาร  จำนวนคนเหล่านี้ลดลงไปมาก   

ดังนั้นเมื่อธุรกิจการบินเริ่มฟื้นตัว จึงได้เห็นการร้องเรียนในเรื่องงานบริการต่างๆ หรือกระเป๋าล่าช้า ซึ่งปัญหาเหล่านี้ต้องเข้าใจว่าเมื่อบุคคลากรด้านนี้หายไปกว่าจะกลับมาเหมือนเดิมมันต้องใช้เวลา   เพราะไม่ใช่ว่ารับสมัครมาแล้วทำงานได้เลย จะต้องมีการฝึกอบรม เรื่องมาตรฐานการทำงานต่างๆ  แม้กระทั่งการยกกระเป๋าก็ต้องมีวิธีการที่จัดการ

แม้ว่าสายการบินจะเริ่มเปิดรับสมัครบุคคลากรด้านการบินแล้วก็ตาม แต่ต้องยอมรับว่าคนสนใจเข้ามาทำงานในธุรกิจการบินน้อยลง  บางทีเปิดรับสมัคร ก็ไม่มีคนเข้ามามากนัก อย่างกรณีเปิดรับสมัครเจ้าหน้าที่ทำงานภาคพื้นที่สนามบินสุวรรณภูมิ  ถ้าเป็นช่วงก่อนหน้านี้ มีผู้สนใจมาสมัครเป็น 1,000 คน แต่ล่าสุดมาสมัครแค่ 200-300 คน  เท่านั้น

“ทำให้มีการมองว่าธุรกิจการบิน ไม่ใช่งานที่มั่นคง ไม่หรูหราเหมือนเมื่อก่อน และห่วงว่าจะมีผลกระทบอีกก็เป็นได้   ขณะที่คนที่ออกจากวงการนี้ไปแล้วก็หันไปทำอาชีพอื่น ซึ่งก็น่าจะเหมือนกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เช่นโรงแรม คนหายไปจากระบบ  เชฟ  บาร์เทนเดอร์  น้อยมากที่จะกลับเข้าระบบเหมือนเดิม

อย่างไรก็ตามการดึงคนกลับมาทำงานให้เหมือนเดิมยังต้องใช้เวลาพอสมควร ส่วนที่คาดหวังจะให้กลับมาทำงานเร็วเพื่อรองรับความต้องการได้ทันคงยังไม่ได้ ซึ่งเท่าที่ประเมินคนในอุตสาหกรรมการบินหายไปจากระบบประมาณ 30% และตอนนี้เพิ่งกลับเข้ามาแค่ 20% เท่านั้น”

แอร์ไลน์เลิกตัดราคา เน้นงานบริการหลังฟื้นตัว

หากมองของธุรกิจสายการบินเรื่องการแข่งขันคงปฏิเสธไม่ได้ หากมองช่วงก่อนเกิดโควิด จะแข่งขันกันเรื่องราคา ของใครราคาถูก มีโปรโมชั่นอะไรบ้างเพื่อดึงลูกค้า แต่ปัจจุบันแม้เมื่อทุกอย่างเริ่มฟื้นตัว ผลกระทบยังมีค่อนข้างเยอะทั้งต้นทุนค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น ค่าน้ำมัน ค่าใช้จ่ายของเครื่องบินในโรงซ่อม อุปกรณ์อะไหล่  ทุกบริษัทต้องระมัดระวังในเรื่องนี้  ดังนั้น การแข่งขันด้านราคาคงไม่ดุเดือดเท่าไหร่ แต่จะน้อยลงไปเน้นเรื่องการอำนวยความสะดวกให้กับผู้โดยสารมากกว่า  คงไม่เห็นโปรโมชั่นประเภทศูนย์บาท

ปัจจุบันการแข่งขันของสายการบินจะยังให้ความสำคัญกับเส้นทางบินหลักในประเทศ อย่าง ภูเก็ต เชียงใหม่  ส่วนเส้นทางอื่นๆ มีบ้างแต่ไม่มาก ขณะที่เส้นทางบินประเทศเพื่อนบ้าน เวียดนาม กัมพูชา  อาจต้องใช้กลยุทธ์เรื่องราคาที่จูงใจบ้าง  ซึ่งคงไม่มากเพราะทุกคนก็บอบช้ำมาค่อนข้างเยอะ

ถอดบทเรียนโควิด ตุนสภาพคล่อง 6 เดือน

ผมคิดว่าวิกฤตการณ์ต่างๆ ที่ภาคเอกชนเจอมาเยอะ หลากหลายรูปแบบ เมื่อ 20 ปีก่อน เกิดสงครามอ่าวเปอร์เซีย  ค่าเงินบาทลอยตัวปี 2540  หรือเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ราคาน้ำมันแพง จาก 40 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ปรับไปถึง 150 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล  ซึ่งตอนนั้นก็เป็นวิกฤตของธุรกิจการบิน จนมองว่าถ้าสถานการณ์ยืดเยื้อกว่านี้สายการบินคงหายไปครึ่งหนึ่งของโลก

สำหรับสถานการณ์โควิดน่าจะหนักหน่วงมากที่สุดเท่าที่เคยเจอมา เพราะสถานการณ์อื่นๆ ยังพอทำการบินได้หรือผู้โดยสารไม่เดินทางแต่โควิดต้องหยุดบินไปเลย รายได้ไม่มี มีแต่ค่าใช้จ่าย  เครื่องบินจอดอยู่เฉยๆก็มีค่าใช้จ่าย ค่ารักษาสภาพ ขณะที่จำเป็นต้องเก็บรักษาบุคคลากรที่สำคัญไว้ ต้องมาตรการที่ลดผลกระทบในระยะสั้น 

พุฒิพงษ์   กล่าวว่า ถ้าเกิดโควิดมาอีกรอบ สิ่งแรกอาจต้องรีบลดคนก่อน แล้วค่อยมาเริ่มกันใหม่ บทเรียนจากโควิด คิดว่าปัญหาจะอยู่แค่ 3-4 เดือน ปรากฏว่าผ่านไปเกือบ 3 ปีกว่าจะดีขึ้น อย่างไรก็ตามเชื่อปัญหามักจะไม่เกิดซ้ำเดิม  ยกเว้นมีปัญหาใหม่ ซึ่งเราก็ต้องเตรียมตัว ในทุกๆด้าน โดยเฉพาะทางการเงินต้องมีเงินสภาพคล่องสำรองไว้อย่างน้อย 6 เดือน จากเดิมที่เตรียมไว้แค่ 2-3 เดือนเท่านั้น

ชงรัฐต่อมาตรการลดภาษีน้ำมันถึงสิ้นปี’66

1-2 ปีข้างหน้าหลังจากนี้ไป อนาคตอุตสาหกรรมการบินน่าจะสดใสขึ้น คนเริ่มเดินทาง นักท่องเที่ยวต่างชาติตอบรับดี  ผู้ให้บริการสายการบินอื่น ที่บินเข้ามา ค่อยๆทยอยปรับตัวเพิ่มเที่ยวบิน เดิมใช้เครื่องเล็กก็หันมาใช้เครื่องลำใหญ่ ประเทศไทยยังเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวสนใจ  เข้ามาใช้บริการ โดยเฉพาะในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยังเป็นที่น่าสนใจ

ปัจจุบันนักท่องเที่ยวยุโรปเริ่มกลับเข้ามา แต่ที่เพิ่มเข้ามาคือนักท่องเที่ยวสหรัฐ มีมากขึ้น รวมถึงนักท่องเที่ยวเอเชีย  ญี่ปุ่น จีน  เกาหลี  ส่วนนักท่องเที่ยวจีนก็เริ่มเข้าเรื่อยๆตั้งแต่ต้นปีมีเที่ยวบินจากจีน นับเป็น 1,000 ไฟล์ท หรือเดือนละประมาณ 300  เที่ยว  หลังจากนี้จะเริ่มเพิ่มขึ้น เพราะสายการบินเริ่มมีการเจรจาเพิ่มเที่ยวบิน  โดยในไตรมาส 2 น่าจะเห็นภาพชัดเจนของนักท่องเที่ยวจีน ปีหน้าหรือปีถัดไป การท่องเที่ยวน่าจะกลับมาครบหรือมากกว่า

อย่างไรก็ตามขณะนี้เตรียมเสนอรัฐบาลพิจารณาขยายเวลามาตการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องบินไอพ่นสำหรับ อากาศยานภายในประเทศ จากเดิมอัตราลิตรละ 4.726 บาท เป็นลิตรละ 0.20 บาท จากเดิมมาตรการจะสิ้นสุดเดือนมิถุนายน 2566 โดยจะขอขยายเวลาไปจนถึงสิ้นปี เนื่องจากน้ำมัน เป็นต้นทุนประกอบการถึง 20%  ขณะที่ตัวเลขผลประกอบการสายการบินยังติดลบกันอยู่ แต่มั่นใจปีนี้น่าจะดีขึ้น

 

TAGS: #โควิด #เที่ยวบิน #การท่องเที่ยว #อุตสาหกรรมการบิน