THE KLINIQUE ย้ำเบอร์ 1 ธุรกิจการแพทย์ความงาม แผนปี’67 มุ่งขยายสาขา-พัฒนาผลิตภัณฑ์-เสริมกลยุทธ์การตลาด และยกระดับบริการทะยานสู่เป้าหมายรายได้ 3,000 ล้านบาท โต39% จากปีก่อน
นายแพทย์อภิรุจ ทองวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เดอะคลีนิกค์ คลินิกเวชกรรม จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ประเทศไทยเป็น 1 ในประเทศที่มีการเสริมความงามมากที่สุดในปี 2563 โดยภาพรวมของอุตสาหกรรมเสริมความงามในประเทศนั้นพบว่ามีการเติบโตขึ้นทุกปี ซึ่งมาจากการที่ผู้บริโภคจะเปิดกว้างมากขึ้นต่อการทำศัลยกรรมและเสริมความงาม
จากการศึกษาของ Grand View Research พบว่า ระหว่างปี 2565-2573 จะมีการเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปี (CAGR) ร้อยละ 9.70% โดยในปี 2566 มีมูลค่า 6.4 หมื่นล้านบาท และปี 2567 จะมีมูลค่า 7 หมื่นล้านบาท และคาดการณ์จนถึงปี 2573 จะมีมูลค่าเพิ่มเป็น 1.2 แสนล้านบาท
แนวโน้มดังกล่าว เดอะคลีนิกข์ วางแผนธุรกิจในปี2567 พร้อมใช้งบลงทุน 500 ล้านบาท เพื่อทำตลาดเชิงรุก ด้วย 4 กลยุทธ์หลักประกอบไปด้วย
1.ขยายสาขา
โดย เดอะคลีนิกค์มีแผนเปิดสาขาใหม่เพิ่มอีก 15-20 สาขา เลือกทำเลที่มีศักยภาพ ภายใต้งบลงทุน 300 ล้านบาท หรือลงทุนเฉลี่ย 25-30 ล้านบาทต่อสาขา ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด
2. พัฒนาผลิตภัณฑ์
เน้นนวัตกรรม เทคโนโลยี และความปลอดภัย วางงบลงทุน 200 ล้านบาทสำหรับซื้อเครื่องมือใหม่ๆ
3. การตลาดและการสื่อสาร
มุ่งเน้นกลยุทธ์การเข้าถึงลูกค้าแบบ Omnichannel สร้างการรับรู้แบรนด์และ Engagement กับลูกค้า จนเป็นที่รู้จักทั้งในไทยและต่างประเทศ โดยมีสัดส่วนลูกค้าคนไทยประมาณ 90% ต่างชาติ 10% ทั้งจากประเทศจีนและประเทศเพื่อบ้านทั้งหมดล้วนเป็นลูกค้าในระดับบนที่มีกำลังซื้อสูง
4. บริการ
พัฒนาด้านบริการให้ Personalized ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าแต่ละราย และใส่ใจผ่านทีมแพทย์ในเครือนับเครือนับ 100 คน พร้อมพยาบาล 200 กว่าคน รวมถึงพนักงานให้บริการอีกเกือบ 1,00 คน ที่ได้เทรนนิ่งทุกฝ่ายพร้อมรองรับลูกค้าอย่างครบวงจร
ทั้งนี้ เดอะคลีนิกข์ มองว่ายังมีโอกาสการทำธุรกิจด้วยหากมองภาพรวมตลาดธุรกิจศัลยกรรมและเสริมความงามของไทยมูลค่า 7 หมื่นล้านบาท ซึ่งเดอะคลีนิกค์ มีส่วนแบ่งการตลาดไม่ถึง 5% แต่ในแง่การดูแลรักษาเรื่องผิวหนังความงามถือว่าเป็นเบอร์ 1 ของไทยที่มีบริษัทอยู่ในตลาดหลักทรัพย์
“เดอะคลีนิกข์ ตั้งเป้าหมายจะเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมนี้เพื่อแข่งขันกับตลาดต่างประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาได้ลงทุนเรื่องนวัตกรรมความงามจนได้รับรางวัลชนะเกาหลีและไต้หวันมาแล้ว และยังคงมุ่งมั่นพัฒนานเรื่องนวัตกรรมอีกอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มเรทการใช้ห้องศัลยกรรมให้คุ้มค่ามากขึ้น พัฒนาบริการระดับ 5 ดาว รวมทั้งหาพาทเนอร์ในตลาดเวลเนส ที่จะเติบโตเป็น Inorganic Growth ในอนาคต พร้อมวางเป้าหมายรายได้ในปีนี้อยู่ที่ 3,000 ล้านบาท” นายแพทย์อภิรุจ กล่าวพร้อมเสริมว่า
ในปี 2566 เดอะคลีนิกค์มีรายได้รวม 2,285 ล้านบาท เติบโต 39% โดยธุรกิจศัลยกรรมเติบโตขึ้นกว่า 361% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นปีที่มีการเติบโตสูงมากสอดคล้องกับภาพรวมตลาดที่เติบโตสูงเช่นกัน ซึ่งเป็นโอกาสของเดอะคลีนิกข์จะยังเติบโตได้อีก ด้วยการกลยุทธ์ Multi Brand ในการขยายรายได้บริษัทให้สามารถจับกลุ่มลูกค้าได้ตามความต้องการที่แตกต่างกัน
“การที่เราอยู่ในตลาดนี้มานานมีความเข้าใจลูกค้า รวมถึงการพัฒนาบุคลากรทางการแพทย์และความสัมพันธ์ที่ดีกับพันธมิตรทางเครื่องมือ เทคโนโลยีใหม่ๆ ทั้งหมดนี้คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้บริษัทฯเดินหน้าสู่ความเป็นที่หนึ่งในตลาดนี้” นายแพทย์อภิรุจ กล่าว
สำหรับ เดอะคลีนิกด์ ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2552 ด้วยวิสัยทัศน์ในการเป็นคลินิกความงามที่มอบบริการด้วยความเชี่ยวชาญ ปลอดภัย และได้มาตรฐานสากล โดยตลอด 14 ปีที่ผ่านมา เดอะคลีนิกค์ได้ขยายสาขาภายใต้กลยุทธ์มัลติแบรนด์ (Multi Brand) กระจายตัวอยู่ตามห้างสรรพสินค้าชั้นนำรวมทั้งหมด 60 กว่าสาขาทั่วประเทศ แบ่งเป็น 5 แบรนด์หลัก ได้แก่
- THE KLINIQUE: เน้นกลุ่มลูกค้า Gen X หรือกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงในระดับ Luxury และ Hi-End
- L.A.B.X: เน้นลูกค้ากลุ่มพรีเมื่ยม
- L'Clinic: จับกลุ่มลูกค้าอายุน้อยในระดับพรีเมี่ยมแมส
- THE KLINIQUE SURGERY CENTER: ให้บริการด้านศัลยกรรมเฉพาะทาง มีศูนย์ศัลยกรรมที่ใหญ่ที่สุคใจกลางสยามสแควร์
- KLINIQ Wellness Spa: ให้บริการด้านเวลเนส ซึ่งถือเป็น Mega Trend สำคัญตอบโจทย์กลุ่มสังคมผู้สูงอายุ ที่ต้องการมีชีวิตยืนยาว อย่างมีสุขภาพดี