‘ซีคอน’ ธุรกิจรับสร้างบ้าน ที่ดำเนินกิจการร่วม 63 ปีในปัจจุบัน เตรียมเปลี่ยนผ่านการบริหารครั้งใหญ่ไปยังทายาทรุ่น3 ‘ไปรเทพ ซอโสตถิกุล’ เต็มตัว
บริษัท ซีคอน จำกัด ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2504 จากการรวมตัวของนักธุรกิจกลุ่มหนึ่ง นำโดย ‘วิชัย ซอโสตถิกุล’ ในฐานะผู้บุกเบิกธุรกิจตลาดรับสร้างบ้านเป็นรายแรกของไทย
ด้วยมองเห็นความสำคัญของธุรกิจก่อสร้างที่จะมีผลต่อการพัฒนาประเทศ ไปพร้อมกับการเติบโตธุรกิจมาตลอดระยะ 6 ทศวรรษที่ผ่านมา ภายใต้การบริหารของรุ่น 2 ‘กอบชัย ซอโสตถิกุล’ บุตรชายวิชัย กำลังสำคัญหลักในการขยายอาณาจักรซีคอนถึงในปัจจุบัน ที่เป็นมากกว่าธุรกิจรับสร้างบ้าน
ถึงวันนี้ตระกูล ‘ซอโสตถิกุล’ มีธุรกิจอื่น ประกอบด้วย ผงชูรสตราชฎา บริษัทไทยชูรส จำกัด, รองเท้าแบรนด์นันยาง บริษัทนันยางมาร์เก็ตติ้ง จำกัด ด้วยมูลค่ากิจการรวมมากกว่า 5 พันล้านบาท อีกทั้งยังมีกิจการบรรเทาสาธารณภัย มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง อีกด้วย
โดยในปี 2567 นี้ กิจการดังกล่าวของตระกูลซอโสตถิกุล เตรียมเปลี่ยนผ่านการบริหารใหญ่อีกครั้งไปยังมือ ‘ไปรเทพ ซอโสตถิกุล’ ทายาทรุ่น 3 แห่งอาณาจักรซีคอน
ต่อการส่งไม้ต่อในครั้งนี้ โดยแผนส่วนหนึ่งยังดำเนินการผ่านแคมเปญพิเศษ ‘ซีคอน...ส่งต่อด้วยใจ’ สานต่อบทบาทผู้บุกเบิกธุรกิจรับสร้างบ้านในไทย ปูทางสู่ผู้นำธุรกิจอย่างยั่งยืน
ด้าน ‘มนู ตระกูลวัฒนะกิจ’ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีคอน จำกัด กล่าวว่าในช่วงระหว่างเปลี่ยนผ่านผู้บริหารครั้งใหม่ บริษัทยังได้ใช้กลยุทธ์การทำตลาดผ่านดนตรี (Music Marketing) มาใช้สื่อสารผ่านแคมเปญฯดังกล่าว โดยพัฒนาภาพยนตร์โฆษณา และมิวสิค วิดีโอ เพื่อคงความเชื่อมั่น และยอมรับต่อแบรนด์ในกลุ่มผู้บริโภคในปัจจุบัน
“คุณไปรเทพ ได้เข้ามาร่วมงานบริหารในบริษัทซีคอน มานานกว่า 10 ปี จากปัจจุบันยังได้ดำรงตำแหน่งบริหารธุรกิจในเครือซีคอน ทั้งในไทยชูรส และมูลนิธิป่อเต๊ดตึ๊ง แล้วเช่นกัน”
โดยจะสื่อสารภาพลักษณ์ ประสบการณ์ธุรกิจตลอด 63 ปี ที่พร้อมเดินหน้าจากนี้ไป ผ่านบทเพลง LIVE and LEARN มาทำใหม่ (rearrange) โดย “บอย โกสิยพงษ์” ด้วยเสียงนุ่มเต็มพลังของ ‘ปั่น ไพบูลย์เกียรติ เขียวแก้ว’ มาตอกย้ำคำสัญญาด้านคุณภาพที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
ด้วยหากย้อนกลับไปยังผลงานแรก คือ โครงการออกแบบก่อสร้างตลาดและตึกแถวประมาณ 200 คูหา บริเวณตลาดมหานาค
และจากการดำเนินงานในหลายโครงการต่อมา บริษัทฯ ยังได้คิดค้นและพัฒนา ‘ระบบซีคอน’ ที่ทำให้สามารถสร้างอาคารที่แข็งแรงทนทาน ประหยัดค่าใช้จ่ายและระยะเวลาในการก่อสร้าง ทำให้เกิดระบบการก่อสร้างที่ได้มาตรฐานยิ่งขึ้น
โดยโครงการแรกที่ใช้การก่อสร้างระบบซีคอน ได้แก่ โครงการสร้างตึกแถวบริเวณถนนพระราม 4 และถนนบรรทัดทองของบริษัท วังใหม่ จำกัด ซึ่งเป็นคู่สัญญาโดยตรงกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
และจากความสำเร็จในครั้งนี้ บริษัทฯ ยังได้รับความไว้วางใจให้เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้างศูนย์การค้าสยามสแควร์ ซึ่งเป็นศูนย์การค้าขนาดใหญ่แห่งแรกของประเทศไทย ณ ขณะนั้น
ประกอบด้วยโรงภาพยนตร์ 3 โรง สถานโบว์ลิ่ง 1 แห่ง และตึกแถวประมาณ 550 คูหา และยังได้ร่วมมือกับบริษัท สี่พระยาก่อสร้าง จำกัด สร้างโรงแรมสยามอินเตอร์คอนติแนนตัล ซึ่งนับเป็นผลงานที่ภาคภูมิใจของบริษัทฯ ที่นำมาซึ่งความเชื่อถือ และไว้วางใจในการก่อสร้างด้วย “ระบบซีคอน”
ต่อมาในปี พ.ศ. 2509 รัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้มีนโยบายสนับสนุนผู้มีรายได้น้อยในประเทศไทยให้มีบ้านเป็นของตนเอง โดยการค้ำประกันเงินกู้ 5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อได้เกิดการพัฒนาโครงการในด้านที่อยู่อาศัยดังกล่าว โดยการนำเงินกู้มาให้ประชาชนกู้ยืมสำหรับนำไปซื้อบ้านเพื่อเป็นการตอบสนอง ในโครงการนี้
บริษัทฯ ได้ร่วมทุนกับบริษัทอเมริกาแห่งหนึ่งจัดสร้าง ‘หมู่บ้านมิตรภาพ’ ซึ่งประกอบด้วย บ้านเดี่ยว ประมาณ 800 หลัง ให้ประชาชนเช่าซื้อในอัตราดอกเบี้ยต่ำ โดยมีระยะเวลาผ่อนชำระคืน 20 ปี ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมาก และนับว่าบริษัทฯ เป็นผู้บุกเบิกและริเริ่มบริการสร้างหมู่บ้านจัดสรรผ่อนส่งระยะยาวขึ้น จนเป็นที่แพร่หลายในปัจจุบัน
โดยในปีนี้ บริษัทฯ ยังมีความพร้อมด้านโรงงานผลิตโครงสร้างชิ้นส่วนเสา – คานกึ่งสำเร็จรูประบบซีคอนแห่งที่ 2 ย่านลำลูกกาคลอง 12 ที่สร้างเสร็จเรียบร้อย และมีกำลังการผลิตสูงถึง 1.2 แสนชิ้นต่อปี หรือ 700-800 หลัง เพื่อรองรับการขยายตัว และการขับเคลื่อนธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว พร้อมก้าวไปอย่างต่อเนื่องแบบ ‘Fast Forward’
สำหรับภาพรวมของการดำเนินธุรกิจของ ซีคอน ในไตรมาสแรกของปี 2567 มีมูลค่ายอดจองสร้างบ้านเพิ่มขึ้นกว่าปี 2566 ประมาณ 15% หรือคิดเป็นมูลรวม 570 ล้านบาท แบ่งเป็น
- บ้านขนาดใหญ่ 350 ตร.ม. มูลค่า 155 ล้านบาท
- บ้านขนาดกลาง 300 ตร.ม. มูลค่า 104 ล้านบาท
- บ้านขนาดเล็ก ต่ำกว่า 200 ตร.ม. มูลค่า 46 ล้านบาท
- การรับสร้างบ้านรูปแบบเฉพาะผ่านซีคอน ไอดี มูลค่า 200 ล้านบาท ปัจจุบันมีสัดส่วนในต่างจังหวัด 40%
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมุ่งทำตลาดรับสร้างบ้านในโครงการบ้านจัดสรร ของกลุ่มบริษัทอสังหาริมทรัพย์ อาทิ สิงห์ เอสเตท จำนวน 2 เฟส 50 หลัง มูลค่าราว ๆ 200 ล้านบาท และเนอวานา เป็นบ้านมูลค่า 100 ล้านบาท และมีการเจรจากับอสังหารายอื่น ๆ ต่อเนื่อง
โดยในปี 2567 บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้ อยู่ที่ 2,200 ล้านบาท เติบโต 3-5% จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 1,800-1,900 ล้านบาท ซึ่งหากเป็นไปตามแผนต้องทำยอดจอง 3 ไตรมาส ให้ได้ 570 ล้านบาท/ไตรมาส
พร้อมกล่าวต่อวา “มาตรการกระตุ้นอสังหาของภาครัฐ อาทิ ลดหย่อนภาษีสร้างบ้าน จะเป็นแรงส่งสำคัญให้บริษัทฯ ทำได้ตามเป้า หากไม่มีสถานการณ์กระทบบรรยากาศเศรษฐกิจการลงทุนโดยรวมและมีปลต่อกำลังซื้อผู้บริโภค อาทิ สงคราม จากที่ผ่านมาภาพรวมตลาดไทยผันแปรไปตามการรับข้อมูลข่าวสาร หากช่วงไหนคนไทยมีความกังวลสูงยอดขายก็จะตกลง”
ขณะที่ในไตรมาสสองปีนี้ ภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านจะยิ่งเติบโต สืบเนื่องจากมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ ของภาครัฐ ที่ไฟเขียวลดหย่อนภาษีสำหรับผู้ที่ต้องการปลูกสร้างบ้าน สูงสุด 100,000 บาท นาน 2 ปี ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยกระตุ้นการตัดสินใจของผู้บริโภคได้ดียิ่งขึ้น