PTG บุกหนัก ‘นัน-ออยล์’ วางกลยุทธ์ใช้แบรนด์ ‘ซับเวย์’ เข้ามาเติมเต็มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม

PTG บุกหนัก ‘นัน-ออยล์’  วางกลยุทธ์ใช้แบรนด์ ‘ซับเวย์’  เข้ามาเติมเต็มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม
พีทีจี ขยายธุรกิจนันออยล์ ลงทุน 2,500 ล้านบาท ขยาย ‘ซับเวย์’ ได้ 5,00 สาขาใน 10 ปี กลยุทธ์พาแบรนด์แซนด์วิช ขึ้นเบอร์ 3 ตลาด QSR ไทยใน 3 ปีนับจากนี้

พิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยีจำกัด (มหาชน) หรือ PTG ผู้บริหารธุรกิจน้ำมัน สถานีบริการน้ำมันพีที และธุรกิจไม่ใช่น้ำมัน (นัน-ออยล์) เปิดเผยว่าธุรกิจร้านอาหาร ‘ซับเวย์’ (Subway) ดำเนินการภายใต้บริษัทโกลัค จำกัด โดย PTG เข้าลงทุนทางอ้อมธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม(F&B) ในครั้งนี้ ถือเป็นหนึ่งในแผนขยายธุรกิจนัน-ออยล์เชิงรุกของบริษัท

“ในอนาคต โกลัค จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการเติบโตของ PTG และเชื่อว่าแบรนด์ซับเวย์ ที่เป็นร้านอาหารเบอร์ 4 ของโลก จะเข้ามาเติมเต็มธุรกิจ F&B ของบริษัทฯ” พิทักษ์ กล่าว

ทั้งนี้ บริษัท มองเห็นโอกาสการทำตลาดแบรนด์ซับเวย์ในไทยที่มีแนวโน้มความต้องการมากขึ้น ด้วยเป็นแบรนด์ที่อยู่ในใจคนไทยรุ่นใหม่ที่มองหาทางเลือกด้านสุขภาพ ซึ่งซับเวย์ จะเข้าไปตอบโจทย์ในด้านนี้ รวมถึงยังเป็นแบรนด์ที่จะเข้ามาเติมเต็มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม (F&B) ของบริษัทฯ และสามารถสร้างการเติบโตร่วมกันในประเทศไทยได้ในอนาคต

ด้าน เพชรัตน์ อุทัยสาง กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกล้ค จำกัด เปิดเผยว่าบริษัทฯ วางยุทธศาสตร์ทำธุรกิจร้านอาหารซับเวย์ (SUBWAY) สู่เป้าหมานการเป็นอันดับ 3 ในตลาดร้านอาหารบริการด่วน  (QSR) ภายใน 3 ปีนับจากนี้ จากปัจจุบันซับเวย์ อยู่ตำแหน่งอันดับที่ 5-6 ในตลาด QSR

ปัจจุบัน ตลาด QSR ในปี 2567 มีมูลค่าราว ๆ 47,700 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ย 4% แบ่งเป็น

  • ไก่ทอด 58%
  • เบอร์เกอร์/แซนด์วิช 23%
  • พิซซ่า 19%

ทั้งนี้ บริษัทจะ ใช้จุดแข็งขอวแบรนด์ซับเวย์ ทางเลือกอาหารสุขภาพ สำหรับคนรักสุขภาพในกลุ่ม QSR ที่มึความแตกต่างไปจากแบรนด์คู่แข่งในตลาดเดียวกัน

“อุปสรรคของแบรนด์จากการวิจัย คือ การสั่งสินค้าของซับเวย์ค่อนข้างซับซ้อน ใช้เวลานาน ทำให้คนไม่กล้าสั่ง บริษัทฯ จึงปรับรูปแบบเมนู สามารถเลือกเมนูยอดฮิตตามสูตรซับเวย์ โดยที่ลูกค้าไม่ต้องเลือกเอง แต่ก็ยังคงเมนู DIY ไว้ด้วย รวมไปถึงมีการเพิ่มความหลากหลายเมนู Snack และ Finger Food ที่ซับเวย์ยังขาด” เพชรัตน์ กล่าว

พร้อมกันนี้ บริษัทยังเตรียมแผนระยะยาว 10 ปี ใช้งบลงทุนไม่ต่ำกส่า 2,300-2,500 ล้านบาท ขยายสาขาได้ครบ 500 แห่ง หรือ เฉลี่ยปีละ 50 สาขา ใช้งบลงทุนต่อปี 230-250 ล้านบาท เฉลี่ยลงทุน 4-5 ล้านบาทต่อสาขา ด้วยโมเดลร้านขนาด 50 ตร.ม. เพื่อเข้าถึงปลุ่มเป้าหมายผู้บริโภคให้ครอบคลุมในวงกว้างมากขึ้น จากปัจจุบัน ‘ซับเวย์’ มีสาขาเพียง 148 สาขา

โดยจะเน้นทำเลห้างสรรพสินค้า คอมมูนิตี้มอลล์ ออฟฟิศ สนามบิน โรงพยาบาล รวมไปถึงรูปแบบร้านสาขาเดี่ยว( Stand Alone) เพื่อเป็นการขยายฐานลูกค้า โดยเฉพาะในกลุ่มเป้าหมายหลัก วัยรุ่น คนทำงาน และกลุ่มครอบครัว

พร้อมกันนี้ ยังพัฒนาโมเดลใหม่ ‘Fresh Forward 2.0’ ซึ่งประเทศไทยถือเป็นประเทศแรกในเอเชียที่ตกแต่งด้วยแนวคิดดังกล่าว รวมทั้งการนำวัฒนธรรมไทย มาผสมผสานในการออกแบบให้ลงตัวมากยิ่งขึ้น

รวมถึง นำรูปแบบ ‘ไดร์ฟทรู’ มาใช้ครั้งแรกในไทย ประเดิมสาขาแรกในสถานีบริการน้ำมันเรือธงของ PT ที่นครชัยศรี ภายในปี 2567 เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภคในปัจจุบัน และยังคง มุ่งเน้นทำเลที่สะดวกเข้าถึงง่าย และมองเห็นเด่นชัด

จากแผนดังกล่าว บริษัทฯ วางเป้าหมายรายได้ 500 ล้านบาทต่อปี จากการเปิดสาขา 50 สาขาต่อปี หรือคิดเป็นสาขาละ 10 ล้านบาท/ปี  

 

TAGS: #พีทีจี #PTG #ซับเวย์ #QSR