ออนิกซ์ฯ เตรียมงบฯ 4.8 พันล.ผุด 4 โครงการใหม่ในปี 68 วางแผนบริหารเสี่ยงธุรกิจ สู่ ‘อีคิว โมเดล’ JVC ทุนมาเลย์ ทำ Branded ‘EQ’ โรงแรมรีสอร์ตหรู ภูเก็ต เป็นเจ้าของโครงการฯเอง
ยุทธชัย จรณะจิตต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป (Onyx Hospitality Group) ผู้ทำธุรกิจบริหารจัดการโครงการอสังหาริมทรัพย์โรงแรมที่พักอาศัย,เซอร์วิส อพาร์ทเม้นต์ ระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หนึ่งในบริษัทหลักภายใต้กลุ่มบริษัทอิตัลไทย เปิดเผยว่าบริษัทฯ เตรียมใช้งบลงทุนไม่ต่ำกว่า 4,800 ล้านบาท พัฒนา 4 โครงการอสังหาริมทรัพย์โรงแรมรีสอร์ต ตามแผนที่วางไว้ในปี 2568 (2025 Pipelines) ประกอบด้วย
- การปรับปรุงโฉมใหม่โรงแรมอมารี ภูเก็ต จำนวน 120 ห้องพัก (120 Keys)
- การปรับปรุงโฉมใหม่โรงแรมอมารี สนามบิน ดอนเมือง จำนวน 176 ห้องพัก (176 Keys)
- โรงแรมโอโซ่ กรุงเทพ (OZO BANGKOK) จำนวน 250 ห้องพัก (250 Keys)
- แบรนเด็ดโรงแรมรีสอร์ตระดับลักซูรี่ ‘อีคิว’ ภูเก็ต จำนวน 150 ห้องพัก (150 Keys)
ยุทธชัย กล่าวว่า โรงแรมรีสอร์ตหรูอีคิว จังหวัดภูเก็ต จะเป็นการทำธุรกิจรูปแบบใหม่ของบริษัทฯ ในลักษณะการร่วมทุน (JVC) เป็นครั้งแรกกับพันธมิตรกลุ่ม Hotel Equatorial Kuala Lumpur ประเทศมาเลเซียมาเป็นผู้บริหาร ในรูปแบบเรียกว่า ‘EQ Model’
โดยเบื้องต้นคาดใช้งบลงทุนไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท ในสัดส่วนการลงทุน 50% เท่ากัน โดยโครงการฯ ตั้งอยู่บนพื้นที่ราว 32 ไร่ ซึ่งเป็นที่ดินของครอบครัวจรณะจิตต์ บนทำเลหาดกะตะ จังหวัดภูเก็ต
“EQ Model จะเป็นโครงการร่วมทุนแรกของบริษัทฯ ที่เป็นเจ้าของโรงแรมระดับลักซูรี่เอง และให้เติร์ด ปาร์ตี้ ที่เชื่ยวชาญบริหารจัดการโรงแรมรีสอร์ตหรูอย่างอีคิวมาเป็นผู้ดูแล จากเดิมคอร์บิสสิเนสของออนิกซ์ จะเป็นฮอสพิทาลิตี้ โอเปอเรเตอร์ โครงการฯทั้งในและต่างประเทศมานานร่วม 50 ปี” ยุทธชัย กล่าว
โดย EQ Model ยังเป็นหนึ่งในแผนบริหารความเสี่ยงธุรกิจของบริษัทในระยะยาวได้มากกว่า 150% เพื่อตั้งรับความผันผวนที่เกิดขึ้นจากปัจจัยเศรษฐกิจโลก ทำให้ส่งผลกระทบด้านการเงินกับเจ้าของโครงการฯที่อาจตั้งจ่ายงบประมาณล่าช้า ฯลฯ ด้วยการมีสินทรัพย์ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของตัวเองเข้ามาอยู่ในพอร์ตธุรกิจ นอกเหนือจากการมีรายได้จากการเป็นผู้ให้บริการบริหารจัดการโครงการฯ ต่างๆ ตลอดช่วง 50 ปีที่มา
ทั้งนี้ โรงแรมรีสอร์ตหรูอีคิว วางตำแหน่งในระดับซูเปอร์ลักซูรี่และจะเป็นครั้งแรกที่เข้ามาเปิดให้บริการในไทย โดยขณะนี้อยู่ระหว่างจัดทำรายละเอียดส่วนต่างๆ อาทิ การออกแบบเพิ่มเติม โดยจะใช้ระยะเวลาก่อสร้างราว 3 ปีแล้วเสร็จเพื่อเปิดให้บริการ รองรับความต้องการนักท่องเที่ยวกลุ่มกำลังซื้อสูงที่มีศักยภาพในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตที่มีความร้อนแรงมากที่สุดในขณะนี้
นนท.จีน กลับมาแล้วไตรมาสแรก
ยุทธชัย กล่าวว่า“แนวโน้มการท่องเที่ยวไทยในไตรมาส 2 ปี2567 คาดว่าจะยังมีความคึกคักต่อเนื่องจากไตรมาสแรกที่ผ่านมา โดยกลุ่มนักเดินทางที่ใช้บริการโรงแรมที่พักเครือสาขาในไทย ตามลำดับ คือ 1.จีน 2.ไทย และ 3.รัสเซีย จากเมื่อช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา กลุ่มประเทศมาเลเซีย อยู่อันดับหนึ่ง”
นอกจากนี้ ยังมีนักท่องเที่ยวในตลาดอื่นเริ่มกลับมา อาทิ กลุ่มตะวันออกกลาง เกาหลี ญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร สิงคโปร์ ซึ่งกลุ่มนี้จะเข้ามาพักอาศัยระยะยาว (long haul) และ อินเดีย ซึ่งเตรียมเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่และใหญ่มาก โดยบริษัทเตรียมใช้แบรนด์โรงแรมอมารี เข้าไปขยายตลาดเชิงรุกในกลุ่มนี้มากขึ้น
เป้าปี67 รายได้ 9,400 ล้านบาท
ยุทธชัย กล่าวต่อแผนธุรกิจบริษัทในปี 2567 ภายใต้วิสัยทัศน์ ‘The Best Medium-sized Hospitality Management Company in Southeast Asia’ ต่อเนื่อง โดยมุ่งพัฒนาธุรกิจแบรนด์โรงแรมในเครืออย่างต่อเนื่อง ทั้งแบรนด์ 'อมารี' (Amari) และ 'โอโซ่' (OZO) เป็นแบรนด์สำคัญในการขับเคลื่อนรายได้ ส่วนแบรนด์ 'ชามา' (Shama) มีทิศทางการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่องจากความต้องการในตลาดที่เพิ่มขึ้น
ขณะที่การดำเนินงานของบริษัทฯ ในไตรมาสแรกของปีนี้ เติบโต29% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากปัจจัยการท่องเที่ยวฟื้นตัว รวมถึงจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมากขึ้น โดยจีนกลับมาเป็นประเทศที่ทำรายได้อันดับ 1 ของบริษัท นับเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่การแพร่ระบาดของโควิด
ส่วนประเทศไทยยังคงเป็นประเทศอันดับ 2 เนื่องจากแบรนด์ของ ออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป ยังคงได้รับความนิยมในหมู่คนไทยด้วยเช่นกัน ทั้งในส่วนของการเดินทางภายในประเทศ และการพักแบบ staycation ส่วนอันดับที่ 3 คือ รัสเซีย ซึ่งเป็นตลาดสำคัญสำหรับรีสอร์ตในภูเก็ตและพัทยา และยังคงเป็นตลาดหลักสำหรับออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป
ขณะที่ตลาดอื่นๆ เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี และอินเดีย มีการเติบโตเมื่อเทียบกับปีที่แล้วที่แข็งแกร่ง และยังคงเป็นตลาดที่บริษัทให้ความสำคัญ
ปัจจุบันออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป มีโรงแรม รีสอร์ต และเซอร์วิส อพาร์ตเมนต์ ครอบคลุมทั้งในประเทศไทย มาเลเซีย จีน รวมไปถึง ฮ่องกง บังกลาเทศ และสปป.ลาว และกำลังขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องอีกหลายแห่งทั้งในประเทศ และต่างประเทศ
โดยนับจากปีนี้จนถึงปี 2568 จะมีโครงการที่เตรียมเปิดให้บริการ กว่า 9 แห่ง ในประเทศมาเลเซีย 3 แห่ง จีนและฮ่องกง 2 แห่ง ไทย 2 แห่ง ลาว 1 แห่ง และ ศรีลังกา 1 แห่ง เป็นต้น
สำหรับประเทศมาเลเชีย ออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป เตรียมขยายโรงแรม 3 แห่งใหม่ ได้แก่
- โอโซ่ เมดินิ
- ชามา เมดินิ
- ชามา ซัวซานา ยะโฮร์ บาห์รู
“จะทำให้มีโรงแรมในมาเลเซีย รวมทั้งสิ้น 7 แห่ง ถือเป็นประเทศแรก นอกเหนือจากไทยที่มีแบรนด์ ออนิกซ์ ครบทั้งอมารี โอโซ่ และ ชามา การขยายตัวในมาเลเซียสะท้อนวิสัยทัศน์และการให้ความสำคัญกับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของบริษัทฯ โดยมาเลเซียมีศักยภาพการท่องเที่ยวและชื่อเสียงด้านวัฒนธรรมและธรรมชาติ รวมถึงการจัดประชุมขนาดใหญ่ รองรับตลาด MICE ตอบโจทย์นักเดินทางทั่วโลกที่แสวงหาประสบการณ์ใหม่ๆ และเพื่อธุรกิจ” ยุทธชัย กล่าว
สำหรับแบรนด์อมารี วางตำแหน่งเป็นแบรนด์โรงแรมระดับ Upper Upscale เน้นตลาด City MICE, Urban MICE และรีสอร์ต รองรับกลุ่มนักธุรกิจและนักท่องเที่ยว ด้วยรูปแบบบริการระดับลักซูรี่ โดยแบรนด์อมารีมีแผนเปิดตัวโรงแรมใหม่ 3 แห่ง ประกอบด้วย
- อมารี โคลัมโบ ประเทศศรีลังกา - เตรียมเปิดให้บริการในไตรมาสที่ 4 2024 เป็นอาคารสูง 27 ชั้น ประกอบด้วยห้องพักและห้องสวีท 167 ห้อง พร้อมด้วยห้องอาหารและสปาอันเป็นเอกลักษณ์
- อมารี เวียงจันทน์ ประเทศลาว - เตรียมเปิดให้บริการในไตรมาสที่ 4 2024 ซึ่งเป็นแบรนด์โรงแรมแห่งที่ 2 ของแบรนด์อมารีในประเทศลาว ต่อจากโรงแรมอมารี วังเวียง
- อมารี เดอะไทด์ บางแสน ประเทศไทย - เตรียมเปิดให้บริการปี 2025 ตั้งอยู่บนฝั่งทางเดินที่คึกคักตรงข้ามกับหาดบางแสน ด้วยห้องพัก 7 รูปแบบ จำนวน 154 ห้อง รองรับกลุ่มครอบครัว ,นักเดินทางธุรกิจที่ต้องเดินทางไปยังนิคมอุตสาหกรรมในละแวกใกล้เคียง หรือการประชุมพิเศษ และงานอีเวนต์
นอกจากนี้ แบรนด์ อมารี กรุงเทพฯ ยังเตรียมเปิดตัวอย่างเป็นทางการในปลายปี2567 นี้ หลังจากปรับปรุงใหม่และปรับชื่อจาก 'อมารี วอเตอร์เกท กรุงเทพฯ' วางเป้าหมายเป็นจุดหมายปลายทางชั้นนำของเมือง รองรับกลุ่มเป้าหมายทั้งนักเดินทางเพื่อการพักผ่อน ธุรกิจ และ MICE
ขณะเดียวกัน ยังเพิ่มร้านอาหารใหม่ๆ อาทิ 'นิลา' (Nila) และ 'ชมสินธุ์' (Chom Sindh) พร้อมเตรียมเปิดบริการ 'ไหม สปา' (maai spa) หลังประสบความสำเร็จในการเปิดตัวสาขาแรกที่ อมารี พัทยา ไป เมื่อปีที่ 2567 ผ่านมา
ยุทธชัย กล่าวเสริมว่า สำหรับเซอร์วิส อพาร์ทเม้นต์ 'ชามา' (Shama) ยังเป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่เติบโตโดดเด่น ปัจจุบันมีจำนวนที่พักมากกว่า 2,500 ยูนิตจากทั้งหมด 20 แห่ง โดยในไทยเติบโตถึง 200% ภายใน 5 ปี ขณะที่ในฮ่องกง 'ชามา' ถือเป็นผู้นำด้านบริการเซอร์วิส อพาร์ตเมนต์ระดับนานาชาติอันดับ 1 ในฮ่องกงด้วยจำนวนโรงแรม 7 แห่ง
ปัจจุบัน ออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป ยังมุ่งขยายแบรนด์ ชามา เซอร์วิส อพาร์ตเมนต์ อย่างต่อเนื่องตามแนวโน้มความนิยมที่เพิ่มขึ้นของการมองหาที่พักระยะยาวทั้งในและต่างประเทศ อาทิ ชามา ซัวซานา มาเลเชีย, ชามา ฮับ เมโทร เซาธ์ ฮ่องกง, ชามา ฮับ เฉียนถัง หางโจว ประเทศจีน
ล่าสุดได้ทำพิธีลงนามสัญญาเข้ารับบริหาร 'ชามา ระยอง' (Shama Rayong) ให้บริการห้องพักไว้บริการมากกว่า 150 ห้อง ประกอบด้วยห้องสตูดิโอ ห้องนอนแบบ 1-2 ห้องนอน ร้านอาหาร สระว่ายน้ำ ห้องออกกำลังกาย และห้องประชุม ตั้งบนทำเลการเดินทางเชื่อมสู่ใจกลางเมืองระยองและนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด รวมถึงยังอยู่ในทำเลที่ใกล้กับนิคมอุตสาหกรรมและย่านธุรกิจสำคัญต่าง ๆ จะเตรียมเปิดให้บริการปี 2569
ยุทธชัย สำหรับแบรนด์ 'โอโซ่' (OZO) อีกหนึ่งแบรนด์ธง ของ ออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป ล่าสุดเตรียมเปิด OZO Medini ที่ประเทศมาเลเซีย ในไตรมาส 2 ปีนี้ ซึ่งนับเป็น โรงแรมโอโซ่ แห่งที่ 5 จากปัจจุบัน 4 แห่งประกอบด้วย โอโซ่ พัทยา, โอโซ่ ภูเก็ต, โอโซ่ สมุย, โอโซ่ จอร์จทาวน์ ปีนัง
“ด้วยความพยายามที่จะบรรลุวิสัยทัศน์โดยรวมในการก้าวเป็น 'The Best Medium-sized Hospitality Management Company in Southeast Asia' บริษัทเตรียมแผนดำเนินงาน ที่จะมีโรงแรมและที่พักภายใต้การบริหารมากกว่า 50 แห่งภายในปี 2568 และตั้งเป้าหมายให้ได้ 70 แห่งภายในปี 2571" ยุทธชัย กล่าว
เปิดร้านอาหาร ‘นิลา’ เจาะตลาดอินเดีย
นอกจากนี้ ออนิกซ์ฯ ยังเสริมความแข็งแกร่งของธุรกิจ ด้วยการขยายพอร์ตโฟลิโอไปยังธุรกิจด้านฮอสพิทาลิตี้อื่นๆ เพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่กำลังเดินหน้าไปในทิศทางบวก
ล่าสุดเตรียมเปิด 'เปรโก้' (Prego) แบรนด์ร้านอาหารอิตาเลียนสไตล์โฮมเมด สาขาใหม่ล่าสุด ณ หาดกะตะ จ.ภูเก็ต ภายปี 2567 นี้ หลังจากเปิดแบรนด์ร้านดังกล่าวไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมา รวมถึงร้านอาหารใหม่ 'นิลา' (Nila) ร้านอาหารสไตล์ Coastal Indian Cuisine ซึ่งนับว่ายังหาทานได้ยากในประเทศไทยโดยมีการวางตำแหน่งแบรนด์เพื่อเจาะกลุ่มตลาดอินเดียในประเทศไทย รวมถึงกลุ่มเหล่านักชิมอาหารที่ตามหารสชาติใหม่ๆที่ยังไม่มีมาก่อน
จากแนวทางดังกล่าว ในปีโดยปีนี้ตั้งเป้ารายได้ 9,463 ล้านบาท เติบโตขึ้นกว่า 19% จากปีก่อน และเติบโต 23% เมื่อเทียบกับปี 2019 ซึ่งเป็นช่วงก่อนการแพร่ระบาดโควิด-19
โรงแรมหรูโต แต่ ‘รีเทล ลักซูรี่’ นิ่ง
ยุทธชัย กล่าวต่อทิศทางเศรษฐกิจครึ่งหลังของปี 2567 ในภาพรวมมองว่ายังต้องมีความระมัดระวังความเสี่ยงสูงอย่างมากทั้ง อัตราเงินเฟ้อที่ยังมีอยู่ต่อเนื่องจากค่าพลังงานน้ำมันที่ยังสูงอยู่ รวมถึงหนี้ครัวเรือนที่ขยายตัวกว่า 90% แล้วในปัจจุบัน ด้วยขณะนี้เศรษฐกิจแย่มากจากอัตราการเติบโตจีดีพีชไทย ไม่ถึง2%
อย่างไรก็ตามยังมีข้อสังเกตที่น่าสนใจ คือ ในช่วงที่ผ่านมาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โรงแรมที่พักระดับหรูมีอัตราการเติบโตดี ขณะที่กลุ่มธุรกิจค้าปลีกลักซูรี่ มีการเติบโตไม่ดีนัก
“ส่วนนโยบายดิจิทัล วอลเล็ต ของรัฐบาลที่เตรียมออกมากระตุ้นเศรษฐกิจประเทศในปลายปี มองว่าจะเป็น Short Booster แต่จะเป็นภาระกับรัฐบาลในระยะยะยาวมากกว่า ด้วยเม็ดเงินจำนวนนี้ควรนำไปทำอย่างอื่นแทน เช่น ดีเซล ซับซิดี้ ค่าไฟ” ยุทธชัย กล่าว
ทั้งนี้ ต่อการนำมาใช้เพื่อแจกในรุปแบบเงินดิจิทัล วอลลเล็ต มองว่าจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงสั้นเท่านั้น ด้วยเงินจำนวนนี้รัฐบาลหวังให้ประชาชนนำไปใช้ให้หมดมากกว่าการเก็บไว้ เพื่อให้เม็ดเงินกลับเข้าสู่ระบบหมุนเวียนซึ่งก็อาจจะช่วยไม่มากนัก
พร้อมกล่าวต่อ ถึงอัตราดอกเบี้ยในขณะนี้ยังน่าเป็นห่วง และเชื่อว่าจะยังสูงอยู่ในครึ่งหลังปีนี้ และคาดจะมีแนวโน้มปรับตัวลดลงได้ในไตรมาสสอง ปี2568 ตามทิศทางเดียวกับในสหรัฐอเมริกา ซึ่งหากธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (เฟด) ยังไม่ส่งสัญญาณปรับอัตราดอกเบี้ยลงมา เชื่อว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะยังไม่ปรับลดดอกเบี้ยลงอย่างแน่นอน
"แนวโน้มต้นทุนจากดอกเบี้ยที่ยังสูงอยู่ หากบริษัทฯ ยังคอมมิทที่จะลงทุนต่อเนื่องตามไปป์ไลน์โครงการที่วางไว้ทั้ง 4 แห่งในปี 2568 ก็จะต้องยอมรับภาระต้นทุนที่สูงขึ้น แต่อาจจะได้โปรเจกต์ที่น้อยลง หรือใช้เม็ดเงินจำกัดขึ้น" ยุทธชัย กล่าว
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังมีจุดแข็งจากคอร์ บิสสิเนส ที่ยังสร้างรายได้กลับมาให้ค่อนข้างดี ทำให้บริษัทฯ สามารถเก็บสะสมเป็นทุนได้ต่อเนื่อง แม้ว่าในบางโครงการอาจจะล่าช้าไปราวหนึ่งปี แต่ทั้งนี้ทำให้มีช่วงเวลาสะสมเงินลงทุนได้ก่อนเริ่มทำทั้ง 4 โครงการพร้อมกันหมด