ส.อ.ท.ชี้ 4 เดือนการผลิตรถยนต์ลดลง 17.05 % ตามออเดอร์ที่หายไป แม้รถอีวีประเภทไฮบริดยังได้รับความนิยม เป็นผลจากเศรษฐกิจโตช้ากำลังซื้อในประเทศยังไม่ดีขึ้น
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยถึงการผลิตรถยนต์ ในเดือนเมษายน 2567 มีจำนวนรถยนต์ทั้งหมด 104,667 คัน ลดลงจากปีก่อน ร้อยละ 11.02 จากการผลิตรถยนต์นั่งและรถกระบะเพื่อขายในประเทศที่ลดลงร้อยละ 5.03 และ 45.94 ตามลำดับ
ทั้งนี้สอดคล้องกับยอดขายที่ลดลง เพราะหนี้ครัวเรือนที่สูงและเศรษฐกิจเติบโตในอัตราต่ำ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมติดลบมาหลายเดือนทำให้กำลังซื้อยังเปราะบาง และลดลงจากเดือนมีนาคม 2567 ร้อยละ 24.34
สำหรับภาพรวมรถยนต์ที่ผลิตได้ในช่วง 4 เดือนแรก(ม.ค.-เม.ย.) มีจำนวนทั้งสิ้น 518,790 คัน ลดลงจากปีก่อน ร้อยละ 17.05 โดยรถยนต์นั่ง ผลิตได้ 38,190 คัน ลดลง ร้อยละ 5.39 แบ่งเป็นรถยนต์นั่ง Internal Combustion Engine มีจำนวน 23,568 คัน ลดลง ร้อยละ 28.84
ด้านรถกระบะขนาด 1 ตัน เดือนเมษายน ผลิตได้ทั้งหมด 65,752 คัน ลดลงจากเดือนเมษายน 2566 ร้อยละ 12.50 และตั้งแต่เดือนมกราคม - เมษายน 2567 ผลิตได้ทั้งสิ้น 316,002 คัน เท่ากับร้อยละ 60.91 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากเดือนมกราคม – เมษายน 2566 ร้อยละ 20.08
“ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาปรับเป้าการผลิตรถยนต์ใหม่จากเดิมที่คาดปีนี้จะผลิตได้ 1.9 ล้านคัน เพื่อให้สอดคล้องกับหลายสำนักที่มีการคาดการณ์ปรับลดอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยยังขอติดตามงบประมาณที่จะเริ่มออกมาในเดือนนี้จะช่วยกระตุ้นให้เกิดการลงทุน และการใช้จ่ายมากน้อยแค่ไหนเพราะหากทำให้คนมีรายได้ มีงานทำ ปัญหาหนี้ครัวเรือนก็จะดีขึ้นส่งผลให้เกิดการใช้จ่ายในภาคเอกชน โดยหวังว่าในช่วงครึ่งปีหลังน่าจะดีขึ้น”
ส่วนการผลิตเพื่อส่งออกรถยนต์ เดือนเมษายน ผลิตได้ 71,928 คัน เท่ากับร้อยละ 68.72 ของยอดการผลิตทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน 2566 ร้อยละ 5.92 ส่วนเดือนม.ค.-เม.ย.ผลิตเพื่อส่งออกได้ 345,608 คัน เท่ากับร้อยละ 66.62 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากปี 2566 ระยะเวลาเดียวกันร้อยละ 2.93
ส่วนผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ เดือนเมษายน ผลิตได้ 32,739 คัน เท่ากับร้อยละ 31.28 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลง ร้อยละ 34.17 และเดือนม.ค.-เม.ย. ผลิตได้ 173,182 คัน เท่ากับร้อยละ 33.38 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลง ร้อยละ 35.71
สำหรับยอดขายรถยนต์ภายในประเทศของเดือนเมษายน มีจำนวนทั้งสิ้น 46,738 คัน ลดลงจากเดือนมีนาคม 2567 ร้อยละ 16.69 และลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 21.49 จากการเข้มงวดในการอนุมุติสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ของสถาบันการเงินและเศรษฐกิจของประเทศเติบโตในระดับต่ำจากความล่าช้าของงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ทำให้การใช้จ่ายการลงทุนของรัฐบาลลดลงมากจนทำให้กำลังซื้อของประชาชนอ่อนแอลง ยอดขายรถยนต์จึงลดลงจากปีที่ผ่านมาถึงร้อยละ 21.49 จนตกไปเป็นอันดับ 3 รองจากประเทศมาเลเซียแล้ว
เมื่องบประมาณปี 2567 มีผลแล้ว หวังว่ารัฐบาลจะเร่งรัดการเบิกจ่ายและการลงทุนรวมทั้งการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตซึ่งรัฐบาลก็ได้กระตุ้นการซื้ออสังหาริมทรัพย์เมื่อเดือนเมษายนแล้ว จึงขอรัฐบาลช่วยกระตุ้นการซื้อรถยนต์ โดยเฉพาะรถยนต์สันดาปภายในและรถกระบะที่ใช้ชิ้นส่วนผลิตในประเทศกว่าร้อยละ 90 ซึ่งมีอุตสาหกรรมต่อเนื่องจำนวนมากพอๆ กับอสังหาริมทรัพย์เพื่อให้อุตสาหกรรมเหล่านี้มีการผลิตเพิ่มขึ้น จ้างงานเพิ่มขึ้น ประชาชนมีงานทำมากขึ้น รัฐบาลเก็บภาษีสรรพสามิตและภาษีมูลค่าเพิ่มรวมทั้งภาษีเงินได้เพิ่มขึ้นทั้งนิติบุคคลและบุคคลธรรมดา เศรษฐกิจเติบโตในอัตราที่สูงขึ้น
ทั้งนี้ยอดขายรถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ มีจำนวน 27,078 คัน เท่ากับร้อยละ 57.94 ของยอดขายทั้งหมด ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 7.83 รถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์สันดาปภายใน (ICE) 12,757 คัน เท่ากับร้อยละ 27.29 ของยอดขายทั้งหมด ลดลงจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วที่ร้อยละ 31.17
ส่วนรถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้า (BEV) 3,900 คัน เท่ากับร้อยละ 8.34 ของยอดขายทั้งหมด ลดลงจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วที่ร้อยละ 7.21 รถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้าผสมแบบเสียบปลั๊ก (PHEV) 132 คัน เท่ากับร้อยละ 0.28 ของยอดขายทั้งหมด ลดลงจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 24.57
ขณะที่รถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้าผสม (HEV) 10,289 คัน เท่ากับร้อยละ 22.01 ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 59.10 รถกระบะมีจำนวน 14,067 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 35.69 รถ PPV มีจำนวน 3,622 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 26.74
ส่วนรถจักรยานยนต์ มียอดขาย 127,045 คัน ลดลงจากเดือนมีนาคม 2566 ร้อยละ 15.27 แต่เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน 2566 ร้อยละ 2.63
อย่างไรก็ตามตั้งแต่เดือนม.ค.-เม.ย.รถยนต์มียอดขาย 210,494 คัน ลดลงจากปี 2566 ในระยะเวลาเดียวกันร้อยละ 23.90 แยกเป็นรถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ มีจำนวน 126,707 คันเท่ากับร้อยละ 60.20 ของยอดขายทั้งหมด ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 6.04 รถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์สันดาปภายใน (ICE) 56,650 คัน เท่ากับร้อยละ 26.91 ของยอดขายทั้งหมด ลดลงจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วที่ร้อยละ 36.09 รถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้า (BEV) 23,031 คัน เท่ากับร้อยละ 10.94 ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วที่ร้อยละ 31.43
รถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้าผสมแบบเสียบปลั๊ก (PHEV) 695 คัน เท่ากับร้อยละ 0.33 ของยอดขายทั้งหมด ลดลงจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 22.69 รถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้าผสม (HEV) 46,331 คัน เท่ากับร้อยละ 22.01 ของยอดขายรถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 66.76 สำหรับรถกระบะมีจำนวน 60,678 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 42.28 รถ PPV มีจำนวน 13,436 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 42.01
ด้านการส่งออก รถยนต์สำเร็จรูปเดือนเมษายน 2567 ส่งออกได้ 70,160 คัน ลดลงจากเดือนที่แล้วร้อยละ 26.22 และลดลงจากเดือนเมษายน 2566 ร้อยละ 12.23 เพราะผลิตเพื่อส่งออกได้น้อยจากจำนวนวันทำงานน้อยในเดือนเมษายน ส่งออกเท่ากับร้อยละ 97.54 ของยอดการผลิตเพื่อการส่งออก จึงส่งออกเพิ่มขึ้นในตลาดอเมริกาเหนือและตลาดยุโรป