เปิดใจ ‘ฤทธิ์ ธีระโกเมน’ ออกสเต็ปใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิมของ MK Group จากนี้ไปจะเป็นมากกว่าธุรกิจร้านอาหาร

เปิดใจ ‘ฤทธิ์ ธีระโกเมน’ ออกสเต็ปใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิมของ MK Group จากนี้ไปจะเป็นมากกว่าธุรกิจร้านอาหาร
MK ออกจังหวะเดินใหม่ขอไปไกลมากกว่าธุรกิจร้านอาหาร แตกไลน์ธุรกิจขายแฟรนไชส์ร้านอาหารไทยในต่างประเทศ สินค้าสุขภาพ จนถึงโลจิสติกส์ ครบวงจร

หลัง MK ปรับเปลี่ยนโลโก้บริษัทใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับการทำธุรกิจร้านอาหารในพอร์ทั้ง 11 แบรนด์ ไปเมื่อเดือนต.ค. 2566 ที่ผ่านมา  ล่าสุด ‘ฤทธิ์ ธีระโกเมน’ ซีอีโอ เอ็มเคฯ ออกมาเผยวิถีธุรกิจแห่งเอ็มเค เป็นครั้งแรกในงาน Thaifex – Anuga Asia 2024 โดยงานฯ จัดขึ้นช่วงระหว่างวันที่ 28 พ.ค. – 1 มิ.ย. 2567 ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี

ในปีนี้ ‘MK Group’ เข้าร่วมงานฯ ภายใต้แนวคิด ‘เติมเต็มความสุขให้ทุกครอบครัว’ (Nourish Happiness in every Family) พร้อมสะท้อนความแข็งแกร่งธุรกิจที่ยังเติบโตต่อเนื่อง โดยแตกไลน์ธุรกิจออกไปนอกเหนือเครือร้านอาหาร แต่ครอบคลุมตลอดห่วงโซ่คุณค่าของอุตสาหกรรมอาหารครบวงจร ตลอดจนธุรกิจอื่น ๆ ทั้งในประเทศและพร้อมไปสู่ต่างประเทศ

“เป็นครั้งแรกที่ผู้มาร่วมงาน จะได้พบกับหน่วยธุรกิจใหม่ของ MK Group โดยมีไฮไลต์ คือ การเปิดรับคู่ค้าขยายแฟรนไชส์แบรนด์ร้านอาหารไทยสู่ต่างประเทศ ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมเพื่อสุขภาพ บริการด้านโลจิสติกส์แบบครบวงจรสำหรับธุรกิจทุกประเภท ซึ่งสะท้อนว่าธุรกิจของ MK Group ในวันนี้ มีมากกว่าแค่เครือร้านอาหารแล้ว" ฤทธิ์ กล่าว

แฟรนไชส์ร้านอาหารไทยพร้อมก้าวไปสู่เวทีโลก

ฤทธิ์ กล่าวว่า สำหรับหน่วยธุรกิจใหม่ International Franchise ของ MK Group เพื่อรองรับผู้ที่สนใจอยากเป็นเจ้าของธุรกิจร้านอาหารไทยในต่างประเทศ พร้อมเปิดรับคู่ค้าที่จะมาร่วมผนึกกำลังขยายสาขา โดยจะช่วยดูแลในทุกขั้นตอนทั้งการวางแผน การฝึกอบรม ไปจนถึงการขนส่งวัตถุดิบ เพื่อคงคุณภาพและมาตรฐานการบริการตามแบบฉบับของต้นตำรับ ทั้งแบรนด์ สุกี้ MK Restaurants แบรนด์สุกี้อันดับ 1 ของไทย  และ ร้านแหลมเจริญ ซีฟู้ด แบรนด์อาหารไทยซีฟู้ดที่มีประวัติยาวนาน ซึ่งมีศักยภาพพร้อมเติบโตไปด้วยกันกับร้านอาหารในเครือ MK Group

โลจิสติกส์ One Stop Services สำหรับธุรกิจทุกประเภท

นอกจากนี้ MK Group ยังร่วมกับ Senko Group Holding ผู้นำด้านโลจิสติกส์ในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีจุดแข็งและองค์ความรู้เกี่ยวกับบริการโลจิสติกส์แบบห้องเย็นเพื่อส่งสินค้ามายาวนานกว่า 100 ปี สู่ M-Senko Logistics ผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์แบบ One Stop Services เพื่อรองรับการให้บริการธุรกิจทุกประเภท ในกลุ่มสินค้าทั้ง Food และ Non – Food

พร้อมความเชี่ยวชาญในการขนส่งแบบ Cold - chain Logistics ได้ทั่วประเทศไทย โดยมีรถขนส่งทุกอุณหภูมิและทุกขนาด บริการคลังสินค้าคุณภาพสูง (Warehouse) ที่มีระบบจัดเก็บและเบิกจ่ายสินค้าอัตโนมัติด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ศูนย์กระจายสินค้าที่ตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ใกล้สนามบินและท่าเรือ รองรับการทำ Forwarding การนำเข้าและส่งออกสินค้าที่ครบทุกความต้องการด้านโลจิสติกส์ พร้อมระบบติดตามการขนส่งแบบเรียลไทม์ตามมาตรฐานสากล ให้บริการขนส่งทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ ครอบคลุมพื้นที่ทั้งในเอเชีย ยุโรป และสหรัฐอเมริกา

ร่วมวงตลาดสินค้าเพื่อสุขภาพ

ฤทธิ์ กล่าวอีกว่า เพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคที่หันมาใส่ใจสุขภาพเพิ่มมากขึ้น Mark One Innovation Center ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าภายใต้แบรนด์ เอ็มเค เวลเนส (MK Wellness) สินค้าทางเลือกเพื่อสุขภาพของคนไทย และสนับสนุนเกษตรกรไทย ได้เปิดรับตัวแทนจำหน่ายเพื่อขยายตลาดสู่ต่างประเทศ โดยมีสินค้าเพื่อสุขภาพที่หลากหลาย อาทิ นมยูเอชทีและนมอัดเม็ด Memberry ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร Memplus และ Fiber Plus เอ็มเค วิตามินกัมมี ผักกรอบเอ็มเคพร้อมทาน เป็นต้น รวมกว่า 30 รายการ มีวางจำหน่ายที่ร้านสะดวกซื้อ ซูเปอร์มาร์เก็ต และห้างสรรพสินค้าชั้นนำ และส่งออกไปยังต่างประเทศแล้ว

นอกจากนี้ ยังมีแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดต่างๆ ภายใต้มาตรฐานการผลิตโดยศูนย์นวัตกรรม ซึ่งวิจัยค้นคว้าร่วมกับมหาวิทยาลัยขอนแก่น, มหาวิทยาลัยเทนเนสซี สหรัฐอเมริกา, สถาบันวิทยาศาสตร์สุขภาพและการกีฬาของมหาวิทยาลัยสึคุบะ ประเทศญี่ปุ่น จึงมั่นใจได้ว่าสินค้าสุขภาพจาก MK Group มีมาตรฐานในระดับสากล และพร้อมกระจายสินค้าไปทั่วโลก เพื่อให้ทุกคนมีสุขภาพดีจากการบริโภคอาหารที่ดี

ขยายตลาด ‘ซอส’ ย้ำรสชาติไทย

สำหรับผลิตภัณฑ์น้ำจิ้มสุกี้ MK น้ำจิ้มไทยต้นตำรับยอดนิยมแบบขวด ชูจุดเด่น ไม่ใส่ผงชูรส สี และสารกันเสีย เก็บได้นาน 1 ปีหากยังไม่เปิดขวด ยังได้เปิดตัวพร้อมวางจำหน่ายที่ร้าน MK ทุกสาขา และร้านสะดวกซื้อทั่วประเทศไทย พร้อมส่งออกไปเกาหลี อังกฤษ แคนาดา และสหรัฐอเมริกา และตั้งเป้าขยายการเติบโตส่งออกในหลายประเทศทั่วโลก พร้อมขยายตลาดในกลุ่มธุรกิจ HORECA เพื่อผลักดันน้ำจิ้มต้นตำรับของไทยไปสู่ครัวโลก  

“สเต็ปถัดไป คือ ขยายตลาดส่งออก โดยจะมองพื้นที่ที่มีคนไทยในต่างประเทศที่รู้จักเอ็มเค อาทิ อเมริกา ซึ่งน้ำจิ้มสุกี้ไม่ได้อยู่เพียงในหมวดน้ำจิ้มสุกี้ แต่กินมาร์เก็ตแชร์ในตลาดซอสพริกโลกที่มีมูลค่า 50,000 – 100,000 ล้านบาทได้ จากการที่ผู้บริโภคใช้น้ำจิ้มสุกี้ในการจิ้มของอื่น ๆ อย่างของทอด หรือกระทั่งหมูกระทะ” ฤทธิ์ กล่าว

โดยบริษัทฯ ยังได้ขยายธุรกิจน้ำจิ้มสุกี้ เป็นอีกหนึ่งสินค้าสำคัญ โดยได้ขยายไลน์การขายครอบคลุมหน้าร้านเอ็มเค โมเดิร์นเทรด และร้านสะดวกซื้อ ซึ่งปัจจุบันยอดขายน้ำจิ้มสุกี้ของเอ็มเคขายได้ 400,000 ขวด/เดือน และในปีนี้คาดว่าจะสร้างรายได้ราว 300 ล้านบาท หากส่งออกสำเร็จในปี 2568 จะช่วยเพิ่มรายได้เป็น 600 ล้านบาท ซึ่งจากแผนทำตลาดต่างประเทศ ทั้งหมด คาดดันสัดส่วนรายได้ต่างประเทศให้ขยับขึ้น 5-10%

พร้อมเสริมว่า นอกจากนี้ยังมีอีก 2 กลุ่มธุรกิจที่ต่อยอดความสำเร็จจากความเชี่ยวชาญในธุรกิจอาหาร คือ บริการ

  • OEM/ODM ภายใต้บริษัท IFS รองรับผู้ประกอบการที่มองหาซัพพลายอาหาร ครอบคลุมสินค้าอาหารหมวด เกี๊ยว, ชุบแป้งทอด, ติ่มซำ, บะหมี่ และอื่น ๆ ตามความต้องการของลูกค้า ให้บริการโซลูชันอาหารครบวงจร ตั้งแต่ให้คำปรึกษา ออกแบบผลิตภัณฑ์ การผลิตและหาบรรจุภัณฑ์ การวิเคราะห์ ทดสอบคุณภาพ ไปจนถึงการจดแจ้งทะเบียนอาหาร
  • บริการด้านโลจิสติกส์ และ บริการอาหารจากครัวกลางคุณภาพมาตรฐานสากล อย่าง MK Food Service สำหรับลูกค้าองค์กรที่กำลังมองหาบริการอาหารพร้อมทาน รองรับกลุ่มลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่ สายการบิน โรงพยาบาล โรงเรียน เป็นต้น

"ด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในธุรกิจอาหารมากว่า 63 ปี กับแบรนด์ร้านอาหารที่หลากหลาย สร้างความมั่นใจในศักยภาพให้กับกลุ่มเอ็มเค พร้อมก้าวไปสู่อีกขั้นในการส่งมอบโซลูชันด้านอาหารครบวงจร ตลอดจนการขยายธุรกิจสู่สินค้าและบริการใหม่ ๆ ที่มีคุณภาพ เสริมแกร่งศักยภาพการเติบโตทั้งในไทยและต่างประเทศ” ฤทธิ์ กล่าว

ปี67 รายได้กลับมาฟื้นก่อนช่วงโควิด

ฤทธิ์ กล่าวว่าสำหรับการดำเนินธุรกิจใน 2567 ถือเป็นปีที่กลุ่มเอ็มเค ผ่านพ้นมรสุมโควิดมาแล้วเต็มตัว และคาดว่ารายได้ฟื้นตัวกลับมาทำรายได้ราว 16,000 ล้านบาท ซึ่งมากกว่าช่วงก่อนเกิดโควิดในปี 2562

“ปีนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้ 16,000 – 17,000 ล้านบาท เติบโต 10% ผ่านการสร้างรายได้จากสาขาเดิม และขยายสาขาใหม่เพิ่มเติม หลังจากช่วงโควิดปิดไปบางสาขา เช่น แหลมเจริญ ปิดไป 5 สาขา และได้เพิ่มมา 30 สาขาแล้ว” ฤทธิ์ กล่าว

โดยในปีนี้ ยังเตรียมงบประมาณลงทุน 350 – 400 ล้านบาท ขยายสาขาในไทย คือ เอ็มเค 15-20 สาขา แหลมเจริญ 10 สาขา และยาโยอิ 15 สาขา

จากปัจจุบันมีสาขาในเอ็มเค 450 สาขา แหลมเจริญ 45 สาขา และยาโยอิ 200 สาขา โดยมีสัดส่วนรายได้หลักเป็นเอ็มเค 75-80% และอีก 20-25% เป็นรายได้มาจากยาโยอิกับแหลมเจริญ

สำหรับการทำตลาดต่างประเทศ บริษัทฯ มีแผนขยายสาขาร้านเอ็มเคราว 8-10 สาขา ไปยังหัวเมืองต่าง ๆ จากปัจจุบันมีสาขาในญี่ปุ่น 25 แห่ง เวียดนาม 5 แห่งสาขา และลาว 3 แห่ง

ส่วนร้านอาหารแหลมเจริญ บริษัทวางแผนขยายธุรกิจในรูปแบบแฟรนไชส์ วางเป้าหมายภายใน 3 ปี (พ.ศ. 2567 – 2569) ราว 40-50 สาขา หรืออาจจะมากกว่าสาขาในประเทศไทย ที่ปัจจุบันมีแหลมเจริญอยู่ 50 สาขาเท่านั้น

เบื้องต้น บริษัทฯ นำร่อง 3 สาขา ในรูปแบบร่วมลงทุนกับพาร์ตเนอร์ในประเทศมาเลเซียในปี 2566 และปี 2567 เตรียมขยายเพิ่ม 5 สาขา รวมเป็น 8 สาขา ในมาเลเซีย ซึ่งบริษัทฯ ใช้เวลาเจรจากับพาร์ตเนอร์แต่ละรายเป็นปี ๆ

ฤทธิ์ กล่าวว่า การขยายสาขาร้านแหลมเจริญ มีความง่ายและคล่องตัวกว่าแบรนด์เอ็มเค ด้วยร้านอาหารหม้อไฟในตลาดทั่วโลกมีจำนวนมาก แต่ในประเทศอื่น จะไม่มีซีฟู้ดแบบไทย “เราจึงคิดว่าแหลมเจริญไปได้ ซึ่งขณะนี้บริษัทฯ มองทั้งตลาดตะวันออกกลาง อเมริกา จีน ญี่ปุ่น”

พร้อมกันนี้ เตรียมงบลงทุนประมาณ 200 ล้านบาท ทำโรงงานปลากะพงแช่น้ำปลารูปแบบฟรีซแข็ง เพื่อการส่งออกต่างประเทศ ความคืบหน้าขณะนี้เริ่มตอกเสาเข็มโรงงานแล้ว

สำหรับผลประกอบการย้อนหลัง 5 ปี เอ็มเค (อ้างอิงกรมการพัฒนาธุรกิจการค้า) ดังนี้

  • ปี 2562 รายได้ 16,126 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.14% และกำไรสุทธิ 3,047 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.74%
  • ปี 2563 รายได้ 11,119 ล้านบาท ลดลง 28% และกำไรสุทธิ 908 ล้านบาท ลดลง 64%
  • ปี 2564 รายได้ 9,822 ล้านบาท ลดลง 15% และกำไรสุทธิ 280 ล้านบาท ลดลง 69%
  • ปี 2565 รายได้รวม 13,559 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38% และกำไรสุทธิ 1,321 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 370%
  • ปี 2566 รายได้รวม 14,413 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% และกำไรสุทธิ 1,511 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14%

 

 

TAGS: #ฤทธิ์ธีระโกเมน #เอ็มเค #กรุ๊ป #MKGROUP #แหลมเจริญ