“สิงห์ เอสเตท” รับโอกาสท่องเที่ยวโลกฟื้นหนุนธุรกิจโรงแรมในไทย-มัลดีฟส์ มีอัตราเข้าพักสูงตลอดทั้งปี 75% พร้อมแผนปี66 ดันกำไร 4 ธุรกิจที่พักอาศัย-อสังหาฯเพื่อการค้า-โรงแรม-นิคมอุตสาหรรม-ที่พัก-โตสุด
ฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทสิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ ‘S’ ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่าจากการปรับโครงสร้างบริหารธุรกิจองค์กรในปี 2565 พร้อมเข้าซื้อกิจการธุรกิจโรงแรมรวม 29 แห่ง จะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยบวกที่ผลักดันให้ธุรกิจโรงแรมภายใต้การบริหารของ “เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์” หรือ SHR มีความโดดเด่นด้านผลประกอบการและกำไร จากเป้าหมายอัตราการเข้าพักรวมทั้งปีนี้อยู่ที่ 75%
“สัญญาณบวกท่องเที่ยวทั่วโลก ที่ทยอยฟื้นตัวจากปลายปีที่ถึงในขณะนี้ โดยเฉพาะความนิยมการเดินทางมาประเทศไทย ในจังหวัด ภูเก็ต กระบี่ สมุย และพัทยา ซึ่งกลุ่มนี้ผลักดันให้มีอัตราการเข้าพักโรงแรมสูงขึ้น อย่างภูเก็ต เกาะพีพี มีอัตราเฉลี่ยเข้าพักอยู่ที่ 95% ส่วนสมุยอยู่ที่ 90% รวมถึงราคาห้องพักในกลุ่มจังหวัดท่องเที่ยวดังกล่าวที่ปรับเพิ่มขึ้น 2 เท่า ถึง2 เท่าครึ่ง อย่างที่พักพัทยาตอนนี้มีราคาอยู่ที่ 6,000-7,000 บาทต่อคืน เทียบกับช่วงโควิดที่ผ่านมา” ฐิติมา กล่าว
ฐิติมา กล่าวต่อถึงแผนธุรกิจ ‘S’ ในปี 2566 ทั้ง 4 กลุ่มธุรกิจ ประกอบด้วย 1.ธุรกิจที่พักอาศัย 2.ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 3.ธุรกิจโรงแรม และ 4.ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม และโครงสร้างพื้นฐาน จะดำเนินการผ่านแนวคิด “S EXCELS” มุ่งสู่ความเป็นเลิศในทุกมิติ ไปพร้อมกับการเติบโตอย่างยั่งยืน ( Sustainable Diversity)
สำหรับกลุ่มธุรกิจที่พักอาศัย ในปี 2566 นี้ สิงห์ เอสเตท เตรียมเปิดตัวโครงการบ้านแนวราบใหม่ ตอบโจทย์ Lifestyle ทันสมัย บนทำเลศักยภาพ รองรับตลาดหลากหลายเซกเมนต์ จำนวน 5 โครงการ ประกอบด้วย บ้านเดี่ยวระดับราคา 15-30 ล้านบาท และระดับราคา 30-50 ล้านบาท Cluster Home ระดับราคาตั้งแต่ 100 ล้านบาทขึ้นไป และเตรียมเปิด Flagship Cluster Home Project มีระดับราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 550 ล้านบาทต่อหลัง มีมูลค่ารวม 5 โครงการกว่า 10,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ สิงห์ เอสเตท ยังขยายสัดส่วนการถือครองโครงการ The ESSE Sukhumvit 36 ส่งผลให้สามารถรับรู้รายได้และกำไรจากโครงการดังกล่าวเต็ม 100% โดยบริษัทฯ คาดว่าโครงการที่พักอาศัยในปีนี้ จะมีรายได้ที่เติบโตขึ้นกว่า 70%
สำหรับ กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้า มีสัญญาณการฟื้นตัวดีอย่างต่อเนื่องด้วยกลยุทธ์โมเดลธุรกิจ Right sizing นำเสนอขนาดพื้นที่ให้เช่าที่หลากหลายควบคู่โมเดลธุรกิจ Ready-to-move หรือการจัดสรรพื้นที่ให้เช่าพร้อมใช้งาน โดยปี 2566 ตั้งเป้าผลประกอบการเพิ่มขึ้น 20% ด้วยอัตราการเช่าพื้นที่สูงกว่า 90% ในทุกโครงการ ทั้งสิงห์ คอมเพล็กซ์ ซันทาวเวอร์ส และ เอส เมโทร
รวมถึงโครงการอาคารสำนักงานล่าสุดอย่าง เอส โอเอซิส บนถนนวิภาวดีรังสิต บริเวณห้าแยกลาดพร้าว พร้อมเซ็นสัญญาผู้เช่ารายใหญ่ในไตรมาส 2 ปีนี้
ส่วน กลุ่มธุรกิจโรงแรมภายใต้การบริหารงานของ ‘เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท’ หรือ ‘SHR’ โดยโรงแรมในเครือที่ประเทศไทยทั้ง 4 แห่งจะเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ คาดรายได้เติบโตถึง 60% จากปีก่อนหน้า ในขณะที่รายได้จากโรงแรมในมัลดีฟส์จะเติบโตขึ้น 30% หนุนรายได้รวมทะลุ 10,000 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้นกว่า 20% ทั้งนี้ ในปี 2566 จะเน้นการเติบโตของอัตราการเข้าพักรวมแตะระดับ All-time High ที่ 75%
ขณะที่การหมุนเวียนและต่อยอดการลงทุนสินทรัพย์ (Asset Rotation & Enhancement) รวมถึงการปรับปรุงและยกระดับโรงแรมในเครือ ช่วยเสริมผลประกอบการให้ SHR ครองตำแหน่งผู้ประกอบธุรกิจบริหารจัดการโรงแรมรายได้สูงสุดเป็นอันดับ 2 ของไทยอย่างต่อเนื่อง และในปลายปีนี้ จะเปิดตัว SO/ Maldives โรงแรมไลฟ์สไตล์หรูระดับ 6 ดาว ในโครงการครอสโรดส์ มัลดีฟส์ ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง SHR และพันธมิตรทางธุรกิจ วางเป้าหมายสร้างกำไรให้กับบริษัทฯ ในระยะยาว
สุดท้าย กลุ่มธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ในปี 2566 บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินในนิคมอุตสาหกรรม เอส อ่างทองเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า แรงหนุนสำคัญจากทั้งปัจจัยมหภาค โดยบีโอไอคาดระดับการลงทุนจากต่างประเทศคงตัวได้ที่ราว 5-6 แสนล้านบาท ความร่วมมือกับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) และจุดแข็งของนิคมอุตสาหกรรม เอส อ่างทอง รองรับธุรกิจที่หลากหลาย
ด้วยแผนการดำเนินงานและกลยุทธ์เพื่อสร้าง All-Time High ในทุกธุรกิจ บริษัทฯ เชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า ในปี 2566 รายได้รวมของ สิงห์ เอสเตท จะสามารถเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ 34% หรือมากกว่า 16,700 ล้านบาท ส่งผลต่ออัตรากำไร และผลตอบแทนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามไปด้วย