เดินสายโรดโชว์ดึงลงทุนอุตสาหกรรมใหม่ พร้อมปรับโครงสร้างการผลิต

เดินสายโรดโชว์ดึงลงทุนอุตสาหกรรมใหม่ พร้อมปรับโครงสร้างการผลิต
บีโอไอ ตอบรับเทรนลงทุนครึ่งปีหลัง ทั่วโลกเคลื่อนย้ายฐานผลิต ลุยโรดโชว์ เกาหลีใต้ จีน อินเดีย สิงคโปร์ ชิงลงทุนฮับภูมิภาค ควบคู่กับการปรับโครงสร้างการผลิต เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่าในช่วงครึ่งปีหลัง ทิศทางการลงทุนโลกยังคงมีแนวโน้มเคลื่อนย้ายการลงทุนและการปรับซัพพลายเชนทั่วโลก จึงเป็นช่วงเวลาสำคัญของประเทศไทยที่ต้องช่วงชิงการลงทุนมาให้ได้ โดยบีโอไอจะให้ความสำคัญกับการบุกเจาะกลุ่มเป้าหมายเชิงรุก และส่งเสริมให้เกิดการลงทุนปรับโครงสร้างการผลิต เพื่อให้ประเทศไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขันเพิ่มสูงขึ้น

ทั้งนี้จะเน้นดำเนินการใน 3 ด้านสำคัญ คือ 1.การสร้างฐานอุตสาหกรรมใหม่ เช่น ยานยนต์ไฟฟ้าทุกประเภทและชิ้นส่วนสำคัญ แบตเตอรี่ระดับเซลล์ เซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ดาต้าเซ็นเตอร์ระดับโลก อุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพ

รวมถึงการผลักดันให้ไทยเป็นฐานของสำนักงานภูมิภาค (Regional Headquarters) และศูนย์กลางบุคลากรทักษะสูง (Talent) ของภูมิภาค โดยในช่วง 2 เดือนข้างหน้า บีโอไอมีแผนจัดโรดโชว์ที่เกาหลีใต้ จีน อินเดีย และสิงคโปร์ รวมทั้งกิจกรรมเชิงรุกอื่นๆ เพื่อดึงการลงทุนอย่างต่อเนื่อง 

2.การเชื่อมโยงอุตสาหกรรมระดับโลกกับซัพพลายเชนในประเทศ ผ่านการจัดกิจกรรมต่างๆ เช่น Subcon Thailand, THECA, Sourcing Day, Business Matching ฯลฯ เพื่อเพิ่มการใช้ชิ้นส่วนในประเทศ สร้างโอกาสทางธุรกิจให้ผู้ประกอบการไทย และสร้างความร่วมมือในการถ่ายทอดเทคโนโลยีและพัฒนาบุคลากร 

3. การปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SMEs ไทย ผ่านมาตรการยกระดับอุตสาหกรรมไปสู่ Smart and Sustainable Industry โดยส่งเสริมการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรให้ทันสมัย นำระบบอัตโนมัติหรือเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในกิจการ ปรับเปลี่ยนมาใช้อุปกรณ์ประหยัดพลังงานหรือพลังงานทดแทน

ตลอดจนยกระดับสู่มาตรฐานสากล ซึ่งเป็นมาตรการที่ผู้ประกอบการตื่นตัวและสนใจมายื่นขอรับการส่งเสริมมากขึ้นอย่างต่อเนื่องซึ่งในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 มีคำขอตามมาตรการนี้จำนวน 192 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 35 เงินลงทุนรวม 19,966 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 160

สำหรับการลงทุนในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค. - มิ.ย.) การส่งเสริมการลงทุนเพิ่มสูงขึ้นในทุกขั้นตอน มีจำนวน 1,412 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 64 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มูลค่าเงินลงทุนรวม 458,359 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 35 สะท้อนถึงศักยภาพและพื้นฐานที่ดีของประเทศไทย ความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อนโยบายรัฐบาล รวมทั้งผลจากมาตรการส่งเสริมการลงทุนของบีโอไอและหน่วยงานภาครัฐ

กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีมูลค่าเงินลงทุนสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า มูลค่า 139,725 ล้านบาท รองลงมา ได้แก่ ยานยนต์และชิ้นส่วน มูลค่า 39,883 ล้านบาท เกษตรและแปรรูปอาหาร มูลค่า 33,121 ล้านบาท ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ มูลค่า 25,344 ล้านบาท และดิจิทัล มูลค่า 25,112 ล้านบาท ตามลำดับ

นอกจากนี้การลงทุนในอุตสาหกรรมแห่งอนาคตที่มีความสำคัญต่อการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ เช่น กิจการผลิตอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ได้แก่ การผลิต Wafer, การออกแบบทางอิเล็กทรอนิกส์, การประกอบและทดสอบเซมิคอนดักเตอร์และวงจรรวม 10 โครงการ เงินลงทุนรวม 19,543 ล้านบาท   กิจการผลิตแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (Printed Circuit Board: PCB) 31 โครงการ เงินลงทุนรวม 39,732 ล้านบาท

กิจการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ และเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ 8 โครงการ เงินลงทุนรวม 38,182 ล้านบาท   กิจการ Data Center 3 โครงการ เงินลงทุนรวม 24,289 ล้านบาท  กิจการผลิตเครื่องจักร อุปกรณ์ หรือระบบ Automation 69 โครงการ เงินลงทุนรวม 10,271 ล้านบาท   กิจการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนหรือขยะ 255 โครงการ เงินลงทุนรวม 72,475 ล้านบาท

ขณะเดียวกันยังมีบางกิจการที่เงินลงทุนไม่สูง แต่ส่งผลอย่างมากต่อการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เพราะเป็นกิจการฐานความรู้ และเป็นกิจการสนับสนุนการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ เช่น กิจการพัฒนาซอฟต์แวร์ แพลตฟอร์มเพื่อให้บริการดิจิทัล หรือดิจิทัลคอนเทนต์ 59 โครงการ เงินลงทุนรวม 812 ล้านบาท

 กิจการสนับสนุนการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้แก่ การวิจัยและพัฒนา การพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพ การออกแบบทางวิศวกรรม บริการทดสอบทางวิทยาศาสตร์ และบริการสอบเทียบมาตรฐาน 13 โครงการ เงินลงทุนรวม 805 ล้านบาท

กิจการ Smart Farming  3 โครงการ เงินลงทุนรวม 56 ล้านบาท กิจการศูนย์กระจายสินค้าด้วยระบบที่ทันสมัย 11 โครงการ เงินลงทุน 2,327 ล้านบาท   กิจการศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศ (IBC) 19 โครงการ เงินลงทุนรวม 274 ล้านบาทและ กิจการศูนย์จัดหาจัดซื้อวัตถุดิบและชิ้นส่วนระหว่างประเทศ (IPO) 16 โครงการ เงินลงทุนรวม 728 ล้านบาท

ด้านการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง มีโครงการยื่นขอรับการส่งเสริมจำนวน 889 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 83 เงินลงทุนรวม 325,736 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 16 โดยประเทศ/เขตเศรษฐกิจที่มีมูลค่าขอรับการส่งเสริมสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ สิงคโปร์ 90,996 ล้านบาท จีน 72,873 ล้านบาท ฮ่องกง 39,553 ล้านบาท ญี่ปุ่น 29,987 ล้านบาท และไต้หวัน 29,453 ล้านบาท ตามลำดับ โดยมูลค่าการลงทุนของสิงคโปร์ที่สูงขึ้น เกิดจากการลงทุนขนาดใหญ่ของบริษัทสิงคโปร์ที่มีบริษัทแม่เป็นสัญชาติจีนในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์

สำหรับการอนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุน ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ มีจำนวน 1,451 โครงการเพิ่มขึ้นร้อยละ 37 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เงินลงทุนรวม 476,276 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 27 ประโยชน์ของโครงการที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนเหล่านี้ คาดว่าจะเพิ่มมูลค่าการส่งออกของประเทศอีกกว่า 1.3 ล้านล้านบาท/ปี โดยส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า นอกจากนี้ ยังเพิ่มการใช้วัตถุดิบในประเทศกว่า 4.9 แสนล้านบาท/ปี และเกิดการจ้างงานคนไทยกว่า 1 แสนตำแหน่ง

ส่วนของการออกบัตรส่งเสริม ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ใกล้เคียงการลงทุนจริงมากที่สุด เพิ่มขึ้นมากเช่นเดียวกัน โดยมีจำนวน 1,332 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 56 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เงินลงทุนรวม 438,733 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 87 ซึ่งจะนำไปสู่การลงทุนจริงในช่วง 1 - 2 ปีข้างหน้า ส่งผลดีต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป

 

 

TAGS: #บีโอไอ #ย้ายฐานผลิต #ฮับภูมิภาค #EV