ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ส่องนโยบายสิ่งแวดล้อมผู้ลงสมัครประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของ 2 พรรค มองกระทบส่งออกไทยยังจำกัด แต่ต้องระวังหาตลาดทดแทนอุตฯยานยนต์สหรัฐฯ และยุโรปปรับขึ้นภาษีชั่วคราว
กฤษฏิ์ แก้วหิรัญเจ้าหน้าที่วิจัยอาวุโส ศูนย์วิจัยกสิกรไทย (KResearch) เผยบทวิเคราะห์ผ่านนโยบายสิ่งแวดล้อมผู้ลงสมัครประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ทั้ง 2 พรรค ได้แก่ 1.รองประธานาธิบดี Kamala Harris จากพรรค เดโมแครต และ 2. อดีตประธานาธิบดี Donald Trump จากพรรคริพับลิกัน ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ กำลังใกล้เข้ามาที่ทั่วโลกกำลังจับตานโยบาย
ทั้งนี้ หากเปรียบเทียบนโยบายด้านภูมิอากาศของผู้สมัครประธานาธิบดีสหรัฐฯ ผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ ที่จะมาถึงจะกำหนดทิศทางการลงทุนเพื่อบรรลุเป้าหมาย Net zero ของสหรัฐฯ ที่ยังไม่แน่นอนตามนโยบายของผู้ลงสมัคร โดยมาตรการสำคัญที่อาจกระทบการลงทุนเพื่อลด GHG ของสหรัฐฯ ได้แก่ การแก้ไขมาตรการอุดหนุนตาม Inflation Reduction Act (IRA) ในขณะที่สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนอาจลุกลามไปยังแร่สำคัญที่จีนเป็นเจ้าของอุปทานในตลาดโลก
กฎหมาย Inflation Reduction Act (IRA)
นโยบายที่เป็นที่พูดถึงของ 2 ผู้ลงสมัครคือ มาตรการ IRA ที่สนับสนุนการลงทุนเพื่อลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล และลด GHG เช่น การลงทุนแผงโซล่าเซลล์ แบตเตอรี่ ยานยนต์ไฟฟ้า เป็นต้น
โดยนโยบายของ Trump มีแนวโน้มแก้ไขระเบียบการให้เงินสนับสนุนตามกฎหมาย IRA และกฎระเบียบเพื่อควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของภาคอุตสาหกรรม ซึ่งอาจทำให้เกิดความเสี่ยงต่อทิศทางการลงทุนเทคโนโลยีลด GHG ในอนาคต ในขณะที่ Harris มุ่งมั่นที่จะสานต่อมาตรการ IRA
การลงทุนด้านสภาพภูมิอากาศในสหรัฐฯ เร่งตัวขึ้นหลังมาตรการ IRA โดยการลงทุนด้านภูมิอากาศในสหรัฐฯ ก่อนที่มาตรการ IRA จะมีผลบังคับใช้ มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยไตรมาสละ 7% ขณะที่หลังจากที่มาตรการ IRA มีผลบังคับใช้อัตราการเติบโตเฉลี่ยของการลงทุนเร่งตัวสูงขึ้นเป็น 9%
ไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานหมุนเวียนในสหรัฐเพิ่มสูงขึ้น แต่ไม่ได้เป็นผลมาจาก IRA ทั้งหมด แนวโน้มการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในสหรัฐมีสัดส่วนเพิ่มสูงขึ้นจาก 14% ในปี 2014 เป็น 26% ในปี 2023 โดยมีแนวโน้มเร่งตัวตั้งแต่มาตรการสนับสนุนการผลิตไฟฟ้าจาก แสงอาทิตย์สมัยประธานาธิบดี Obama (2009 – 2017)
อย่างไรก็ดีการผลิตไฟฟ้าส่วนใหญ่ของสหรัฐฯ ยังคงมาจากก๊าซธรรมชาติที่เพิ่มสูงขึ้น การแก้ไขมาตรการ IRA อาจจะส่งผลต่อการลงทุนรถยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่มากกว่าการลงทุนด้านพลังงานหมุนเวียนเนื่องจากการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติเป็นที่นิยมมากกว่า
ดังนั้น หาก Trump ชนะการเลือกตั้งที่จะมาถึง การลงทุนในเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่อาจชะลอตัวลงจากการปรับเกณฑ์อุดหนุนของ IRA ขณะที่การลงทุนด้านพลังงานหมุนเวียนอาจไม่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากแนวโน้มการลงทุนปัจจุบันที่มุ่งเน้นไปที่โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติมากกว่า
มาตรการกีดกันการค้าจะขยายวงกว้างไปยังแร่สำคัญที่ใช้ในเทคโนโลยีลดก๊าซเรือนกระจก ในสมัย Trump เป็นประธานาธิบดี สินค้าที่ขึ้นภาษีในช่วงสงครามการค้ากับจีน เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร สิ่งทอ เป็นต้น ขณะที่ในปัจจุบันมาตรการกีดกันการค้าได้ขยายวงกว้างไปสู่สินค้าเทคโนโลยีเพื่อลด GHG เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า แผงโซล่าเซลล์ แบตเตอรี่ แร่สำคัญต่าง ๆ เป็นต้น
โดยแนวโน้มนโยบายการค้าของผู้ลงสมัครทั้ง 2 ท่านจะยังคงกีดกันการค้าจากจีนและมุ่งเน้นไปที่เทคโนโลยีลด GHG โดยเฉพาะวัตถุดิบที่เป็นแร่ธาตุสำคัญที่นำมาใช้ในการผลิตแบตเตอรี่ ได้แก่ Graphite Nickel Cobalt และ Lithium
ทั้งนี้ กล่าวโดยสรุป นโยบายด้านการลดก๊าซเรือนกระจก (GHG) ของผู้สมัครแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง โดย นโยบายของ Harris จะยังคงสนับสนุนการลงทุนเพื่อลด GHG และควบคุมการปล่อย GHG ของภาคอุตสาหกรรม
- ในขณะที่ Trump คาดว่าจะปรับเกณฑ์ Inflation Reduction Act (IRA) และคงนำสหรัฐฯ ออกจาก Paris Agreement อีกครั้ง
- การลงทุนในเทคโนโลยีเพื่อลด GHG อาจชะลอตัวลงหาก Trump ชนะการเลือกตั้งโดยเฉพาะการลงทุนด้านแบตเตอรี่และยานยนต์ไฟฟ้าที่เร่งตัวขึ้นจากมาตรการสนับสนุนจากกฎหมาย IRA
- นโยบายกีดกันการค้ากับประเทศจีนจะรุนแรงขึ้นและจะขยายวงกว้างไปยังสินค้าที่เป็นวัตถุดิบ โดยเฉพาะแร่สำคัญที่ใช้ในเทคโนโลยีเพื่อลด GHG อย่าง Lithium ที่เป็นแร่สำคัญในการผลิตแบตเตอรี่
- ขณะที่ ผลกระทบต่อไทยยังคงมีจำกัด เนื่องจากไทยมีการส่งออกสินค้าที่สหรัฐฯ จับตามอง ในสัดส่วนที่น้อย รวมถึงการส่งออกแผงโซล่าเซลล์ที่อยู่ระหว่างการสอบสวนตามมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด
อย่างไรก็ดีอุตสาหกรรมยานยนต์อาจได้รับผลกระทบจากการหาตลาดทดแทนสหรัฐฯ และยุโรปที่มีการปรับขึ้นภาษีชั่วคราว