HIS Co. เอเยนต์เที่ยวญี่ปุ่น หนึ่งในธุรกิจซอมบี้อาจล้มละลาย หลัง BOJ ปรับดอกเบี้ยแค่ 0.1% ในปี67  

HIS Co. เอเยนต์เที่ยวญี่ปุ่น หนึ่งในธุรกิจซอมบี้อาจล้มละลาย หลัง BOJ ปรับดอกเบี้ยแค่ 0.1% ในปี67  
หลังธนาคารกลางญี่ปุ่น ปรับขึ้นดอกเบี้ยเพียง 0.1% ในรอบปี 67 ส่งผลให้ธุรกิจซอมบี้ในประเทศ กว่า 5พันแห่ง อาจล้มละลายเป็นครั้งแรกในรอบ10ปี พบ HIS.Co. ตัวแทนเที่ยวรายใหญ่หนี้สะสม 3 หมื่นล้านเยน

สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานว่า ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) คงนโยบายทางการเงินแบบผ่อนคลายพิเศษเป็นเวลากว่า 30 ปี แต่เมื่อเดือนมี.ค. 67 ที่ผ่านมา BOJ ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสู่ระดับ 0-0.1% ส่งผลให้บริษัทซอมบี้มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น และอาจนำไปสู่การล้มละลาย ด้วยองค์กรเหล่านี้เป็นกิจการที่มีหนี้สินจำนวนมาก และไม่มีความสามารถในการสร้างกำไรเพื่อนำมาชำระหนี้ได้

ตามรายงานของ Tokyo Shoko Research ได้เปิดเยเมื่อต้นเดือนต.ค. 67 ที่ผ่านมามาว่า มีธุรกิจล้มละลายสูงถึง 5,000 คดี เป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี  โดยช่วงระหว่างเดือนเม.ย.-ก.ย.67  บริษัทจำนวน 5,095 แห่ง มีหนี้สินรวมกันเกือบ 1.38 ล้านล้านเยน หรือราว 9,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา ซึ่งหนี้สินส่วนใหญ่มาจากอุตสาหกรรมบริการ

นิโคลาส สมิทธ์ (Nicholas Smith) นักกลยุทธ์จาก CLSA Securities Japan Co. กล่าวว่า “ธุรกิจซอมบี้สามารถอยู่รอดมาได้หลายปีในญี่ปุ่นมาจากอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำและการสนับสนุนจากรัฐบาล และเมื่อไม่สามารถลงทุนหรือจ้างงานได้ ทำให้เกิดปิดกั้นหรือเกิดขึ้นขององค์กรใหม่ๆ ไปจนถึงขัดขวางการย้ายงานของพนักงาน ซึ่งการกำจัดบริษัทซอมบี้ออกไปอาจไม่ใช่เรื่องเลวร้าย เพื่อเปิดทางให้กับองค์กรใหม่ๆ ที่มีสุขภาพดีขึ้น”

“ไม่มีใครคิดถึงพวกเขาเลย” สมิทธ์ กล่าว “เราอยู่ในสถานการณ์ที่เราไม่กังวลเกี่ยวกับการว่างงานในญี่ปุ่น ในความเป็นจริง สิ่งที่เรากังวลมากที่สุดคือการขาดแคลนแรงงานอย่างรุนแรง”

ขณะที่ การปรับอัตราดอกเบี้ยงขึ้นเพียง 0.1% อาจส่งผลให้จำนวนซอมบี้ในองค์กร ซึ่งใช้กำไรส่วนใหญ่ไปกับการชำระหนี้  โดยรายงานเมื่อต้นปีที่ผ่านมาระบุว่า มีจำนวนเพิ่มขึ้นราว 632,000 จาก 565,000 ราย โดยหนึ่งในนั้นคือ HIS Co. ซึ่งเป็นบริษัทตัวแทนท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ บริษัทที่มีฐานอยู่ในกรุงโตเกียวแห่งนี้รายงานกำไรจากการดำเนินงาน 1.4 พันล้านเยนในปีงบประมาณล่าสุด ซึ่งสิ้นสุดในเดือนตุลาคม แต่ใช้จ่ายดอกเบี้ยสุทธิไป 1.5 พันล้านเยน

บริษัท HIS ซึ่งเป็นที่รู้จักในด้านทัวร์แบบแพ็คเกจราคาประหยัด ต้องประสบปัญหาเนื่องจากการเดินทางออกนอกประเทศจากญี่ปุ่นหลังการระบาดใหญ่โควิด-19 ขาดแคลน ซึ่งต่างจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเที่ยวประเทศญี่ปุ่นที่เพิ่มขึ้น สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากค่าเงินเยนที่อ่อนค่า ซึ่งเป็นผลจากอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำมาหลายสิบปี บริษัท HIS มีหนี้สินเพิ่มขึ้นหลังปี 2563 และปัจจุบันมีหนี้สิน 3 หมื่นล้านเยน ตามข้อมูลที่รวบรวมโดย Bloomberg

ย้อนกลับไปคำว่า "บริษัทซอมบี้" ถูกคิดขึ้นในปี 2551 โดยศาสตราจารย์ 3 คน รวมถึงศาสตราจารย์ Takeo Hoshi จากมหาวิทยาลัยโตเกียว ให้คำจำกัดความว่าซอมบี้เป็นบริษัทที่ไม่แก้ไขปัญหาการดำเนินงาน แต่สามารถหลีกเลี่ยงการล้มละลายได้ด้วยการสนับสนุนทางการเงินจากรัฐบาลหรือเจ้าหนี้

ในทางกลับกัน ธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศได้ให้คำจำกัดความบริษัทหนึ่งว่าเป็นบริษัทที่ก่อตั้งมานานกว่า 10 ปี และมีอัตราส่วนความคุ้มครองดอกเบี้ยต่ำกว่า 1 เป็นเวลามากกว่า 3 ปี

หนึ่งในบริษัทที่ล้มละลายมากที่สุดในปีนี้คือ MSJ Asset Management Co. ซึ่งถือหุ้นมูลค่า 641,300 ล้านเยน เมื่อถูก Mitsubishi Heavy Industries Ltd. ชำระบัญชี หลังจากล้มเหลวในการเข้าสู่ธุรกิจเครื่องบินโดยสารในประเทศ

ขณะที่บริษัทอื่นๆ ได้แก่ บริษัทรีไซเคิลพลาสติก Eco Research Institute Ltd. , ผู้จัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์ Hokushin Medical Co.และAsahi Food Create Ltd. ซึ่งจำหน่ายอาหารปรุงสำเร็จ

นอกจากภาคธนาคารและประกันภัยแล้ว ทุกภาคส่วนและภูมิภาคในญี่ปุ่นยังพบการล้มละลายเพิ่มขึ้นในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยเพิ่มสูงขึ้นและอุตสาหกรรมหลัก เช่น การขนส่ง ปัญญาประดิษฐ์ และซอฟต์แวร์ ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงจากผู้เล่นระดับโลก ตัวเลขดังกล่าวจึงมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

แม้แต่บริษัทใหญ่ๆ ของญี่ปุ่นก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากการล้มละลายได้อีกต่อไป Panasonic Liquid Crystal Display Co. ติดอันดับบริษัทที่ล้มละลายมากที่สุดในประเทศในปี 2565 การแข่งขันทำให้ธุรกิจแผง LCD หันไปเน้นที่ภาคยานยนต์และอุตสาหกรรมแทน แต่ความตึงเครียดด้านการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนทำให้บริษัทแม่ต้องปิดกิจการ

Panasonic Holdings Corp. ตัดสินใจขายทรัพย์สินของหน่วยงานและยกเลิกเงินกู้ 583,600 ล้านเยนที่ติดค้างกับบริษัทย่อยอีกแห่งหนึ่ง การเคลื่อนไหวของผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในปี 2564 ในการใช้โครงสร้างบริษัทโฮลดิ้งมีจุดมุ่งหมายเพื่อปรับปรุงความรับผิดชอบและผลกำไรของแต่ละแผนก ในเดือนพฤษภาคม Yuki Kusumi ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกล่าวว่าเขาจะพยายามปรับปรุงหน่วยงานที่มีผลงานต่ำกว่ามาตรฐานโดยค้นหา "เจ้าของที่ดีที่สุด" ของหน่วยงานเหล่านั้น

ทั้งนี้ตามข้อมูลของ Tokyo Shoko Research พบว่าบริษัทที่มีหนี้สินในญี่ปุ่นมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยในบางมาตรการยังเร็วกว่าในปี 2535 หลังจากที่ฟองสบู่ราคาสินทรัพย์แตก บริษัทซอมบี้คิดเป็น 14% ของบริษัทจดทะเบียนในญี่ปุ่น และซอมบี้มีจำนวนมากในภาคส่วนต่างๆ ของญี่ปุ่นที่ขาดแคลนแรงงานมากที่สุด นั่นคือ ร้านอาหาร โรงแรม การขนส่ง และการท่องเที่ยว

โดยบริษัทที่ไร้ประสิทธิภาพไม่สามารถรักษาการจ้างงานหรือความสามารถในการแข่งขันได้ ไม่สามารถซื้อหรือขาย และแน่นอนว่าไม่สามารถสร้างกำไรได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนอกศูนย์กลางประชากรในเขตเมือง บริษัทที่ประสบปัญหาอย่างต่อเนื่องทำให้การลงทุนเป็นเรื่องยาก

ขณะเดียวกันสินเชื่อต่ำและเงินช่วยเหลือจำนวนมากในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมาได้ก่อให้เกิดบริษัทที่ไม่มีประสิทธิภาพและมีงบดุลที่ไม่แน่นอน ในช่วงที่มีการระบาดใหญ่ รัฐบาลญี่ปุ่นได้ทุ่มเงินหลายล้านล้านดอลลาร์ให้กับธุรกิจประเภทนี้ ผู้เชี่ยวชาญบางคนเชื่อว่าสินเชื่อไม่มีดอกเบี้ย ไม่มีหลักประกัน เหล่านี้อาจเป็นตัวเร่งสำคัญที่ทำให้มีการล้มละลายเพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา

เมื่อบริษัทขนาดเล็กหรือขนาดกลางล้มละลาย พนักงานจะได้รับอนุญาตให้หางานทำที่อื่นได้ โดยหวังว่าจะได้ทำงานในบริษัทที่ทำกำไรได้มากกว่า ผลิตผลได้ดีกว่า และจัดการบัญชีได้ดีกว่า หากจะว่ากันจริงๆ แล้ว ถือเป็นผลพลอยได้ตามธรรมชาติจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ BOJ ซึ่งสามารถช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานที่ดำเนินอยู่เนื่องจากประชากรของประเทศมีอายุมากขึ้นและมีจำนวนลดลง

ด้าน นาโอกิ ฮัตโตริ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสจาก Mizuho Research & Technologies Ltd. กล่าวว่า “เศรษฐกิจของญี่ปุ่นกำลังเข้าสู่จุดเปลี่ยน และเราจำเป็นต้องเปลี่ยนวิธีคิด”

ฮัตโตริ กล่าวว่าการเพิ่มขึ้นของการล้มละลายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าบริษัททั้งหมดเหล่านี้จะต้องถูกทิ้งให้ล้มละลาย ความท้าทายอยู่ที่การตัดสินใจว่าจะช่วยเหลือบริษัทใดได้บ้าง และจะช่วยเหลืออย่างไร เขากล่าวเสริมว่าแต่ละบริษัทมีลักษณะการดำเนินงานเฉพาะที่ต้องใช้แนวทางเฉพาะ และผู้เชี่ยวชาญบางคนแย้งว่าสถาบันการเงินในท้องถิ่นอยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สุดที่จะทำเช่นนั้น

ด้าน มิทสึฮิโระ ฮาราดะ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของ Tokyo Shoko Research กล่าวว่า “เป้าหมายไม่ได้อยู่ที่การเพิ่มจำนวนการล้มละลาย แต่เป้าหมายคือการลดหนี้ลง ในระดับใหญ่แล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องของการปกป้องวิถีชีวิตของเรา”

จนถึงขณะนี้ดูเหมือนว่าธนาคารกลางญี่ปุ่นจะไม่รีบเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ย แม้ว่าธนาคารกลางญี่ปุ่นจะยังคงนโยบายการเงินไว้เมื่อเดือนที่แล้ว แต่ฮัตโตริคาดว่าธนาคารกลางญี่ปุ่นจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูงถึง 0.5% ในช่วงระหว่างเดือนมกราคมถึงมีนาคม ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1990 และอาจทำให้บริษัทหลายแห่งมีหนี้สินเพิ่มขึ้นหรือล้มละลาย

 

TAGS: #ธนาคารกลางญี่ปุ่น #ธุรกิจซอมบี้ #ขึ้นดอกเบี้ย