บอร์ด EV เตรียมหารือออกมาตรการช่วยผู้ประกอบการอุตสาหกรรมยานยนต์ทั้งรถสันดาปและEVแบบคู่ขนานรักษาแชมป์ฐานผลิตในภูมิภาค
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า รัฐบาลได้แต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ(บอร์ด EV) ชุดใหม่ โดยมีน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน และมีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลังเป็นรองประธาน พร้อมกับเพิ่มกรมสรรพสามิต เข้ามาเป็นกรรมการด้วยเนื่องจากที่ผ่านมาหลายมาตรการเกี่ยวข้องกับภาษีสรรพสามิต
ทั้งนี้วาระสำคัญของบอร์ดชุดใหม่ คือการจัดทำมาตรการส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์เพิ่มเติมเพราะอุตสาหกรรมยานยนต์มีส่วนสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมที่มี Supply Chain ระยะยาว มีการจ้างงาน8-9 แสนคน และมีสัดส่วนการส่งออก 15%
ปัจจุบันต้องยอมรับว่าอุตสาหกรรมยานยนต์อยู่ในช่วงการเปลี่ยนผ่านเรื่องเทคโนโลยี ดังนั้นนโยบายรัฐบาลต้องการสนับสนุนให้ทุกค่ายทุกบริษัทเติบโตได้ แม้ว่าทิศทางตอนนี้จะมุ่งไปทางยานยนต์ไฟฟ้า(EV) แต่ก็รวมไปถึงรถยนต์ไฮบริดและ ปลั๊กอินไฮบริด ที่ยังต้องเปิดรับเทคโนโลยีใหม่ๆด้วย
อย่างไรก็ตามตลาดรถยนต์ปีนี้ไม่ดีนัก ยอดขายติดลบ 20% โดยเฉพาะปิคอัพลดลงไปถึง 40% เนื่องจากปัญหาหนี้ครัวเรือนทำให้สถาบันการเงินเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อซื้อรถยนต์ ซึ่งรัฐจำเป็นต้องปรับมาตรการให้สอดคล้องกับสถานการณ์ เพื่อช่วยเหลือทั้งผู้ประกอบการรายเดิมและกลุ่มรถ EV ที่ เพิ่งเริ่มตั้งฐานผลิตให้สามารถเกิดได้ โดยต้องทำนโยบายแบบคู่ขนาน
ทั้งนี้บีโอไอมีมาตรการช่วยเหลือทั้งผู้ประกอบการรายเดิมให้เปลี่ยนผ่านจากรถยนต์สันดาปสู่รถยนต์พลังงานใหม่ โดยจะเสนอมาตรการให้ผู้ประกอบการรายใหญ่ช่วยผู้ประกอบการรายเล็ก หรือ SMEs ที่เป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนให้อัปเกรดเทคโนโลยีรองรับการเปลี่ยนผ่าน ทั้งการปรับเปลี่ยนเครื่องจักร การให้คำปรึกษา ฝึกอบรม รวมถึงมาตรการส่งเสริมการใช้ชิ้นส่วนในประเทศให้มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันอยู่ที่ 40%
“กลุ่มยานยนต์เป็นกลุ่มที่มีความเปราะบาง พยายามหามาตรการสนับสนุนหลายด้าน ไม่ใช่เฉพาะยานยนต์รายเดิม กรณีรถ EV หลายคนมองว่ารอดแล้ว แต่ถ้ามองข้อเท็จจริงตลาดรถยนต์หดตัวทั้งหมด เพราะเดิมคิดว่าEVจะโต 20-30% กลับกลายเป็นติดลบแทน”
นายนฤตม์ กล่าวว่า หลายคนสงสัยทำไมรัฐบาลต้องไปสนับสนุนรถ EV มาก ซึ่งต้องเข้าใจว่ารถนำเข้าจากจีนได้สิทธิภาษี0%ตามข้อตกลงเอฟทีเอ ดังนั้นถ้าไม่ทำอะไรเลย ไทยจะเป็นเพียงผู้นำเข้า แต่สิ่งที่รัฐบาลพยายามทำคือการเปลี่ยน สถานะจากผู้นำเข้าให้เป็นผู้ผลิตให้ได้ จึงพยายามออกมาตรการสนับสนุนทั้ง EV 3.0และ EV 3.5 เพื่อจูงใจให้เกิดการสร้างตลาดในประเทศ ส่งเสริมการตั้งโรงงานผลิตรถในไทยเพื่อให้เกิดฐานการผลิต
ขณะที่คนทั่วไปมองว่าที่รถยนต์ประเภทสันดาป(ICE) ยอดขายลดลงเพราะรถEV มาแย่งตลาด นั้นหากดูตัวเลขจริงๆ รถEVมีสัดส่วนแค่ 10% เท่านั้น แต่สิ่งที่ทำให้ตลาดหดตัวคือปัจจัยทางด้านการเงิน มากกว่า
“มาตรการของรัฐต้องยืดหยุ่น ต้องปรับเพื่อให้อุตสาหกรรมยานยนต์เติบโตไปได้ เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการก้าวข้ามอุปสรรค สร้างความแข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ทั้งระบบ โดยทำให้ประเทศไทยเป็นฐานผลิตอันดับ 1 ในภูมิภาค และอยู่ในท็อปเทนของโลก” นายนฤตม์กล่าว
อย่างไรก็ดี บีโอไออยู่ระหว่างการเจรจาผู้ประกอบการแบตเตอรี่ระดับโลกให้เข้ามาตั้งฐานผลิตในประเทศไทย ซึ่งแบตเตอรี่ จะเป็นหัวใจสำคัญทั้งอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและเซมิคอนดักเตอร์ ทำให้อุตสาหกรรมในประเทศไทยมีความมั่นคงขึ้น จากการยกระดับทั้ง Eco System ซัพพลายเชน เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ