'ลอนดรี้บาร์' รายใหญ่ร้านสะดวกซักจากมาเลเซีย ขยายหนักธุรกิจแฟรนไชส์ในไทย ย้ำจุดขายเทคโนโลยี-นวัตกรรม ตัวเลือกนักลงทุนรุ่นใหม่ หนีแข่งขันราคาสินค้าจากจีน
จากงาน ‘ SMART INVESTMENT: ลงทุนยุคใหม่ ก้าวไปด้วยนวัตกรรม’ จัดโดย ลอนดรี้บาร์ (LaundryBar) แบรนด์ร้านสะดวกซักครบวงจร ระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และ Alliance Laundry Systems พร้อมผู้บริหารและผู้เชี่ยวชาญการลงทุน ร่วมแลกเปลี่ยนแนวคิดการทำธุรกิจแฟรนไชส์ร้านสะดวกซัก ที่ยังมีโอกาสและให้ผลตอบแทนน่าสนใจ
ย้ำประสิทธิภาพแข่งราคาสินค้าจีน
สุกรี กีไร ผู้อำนวยการฝ่ายขายประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จาก Alliance Laundry Systems กล่าวว่า ทิศทางและอนาคตของธุรกิจร้านสะดวกซักในประเทศไทยยังมีศักยภาพการเติบโตสูง จากปัจจัยเมืองขยายตัวและรายได้ต่อหัวของประชากรเพิ่มขึ้น ทำให้ผู้คนมองหาวิธีการช่วยประหยัดเวลาและสะดวกสบาย ซึ่งร้านสะดวกซักสามารถตอบโจทย์นี้ได้
ทั้งนี้ จากข้อมูลระบุว่า ตลาดร้านสะดวกซักทั่วโลกมีมูลค่าประมาณ 22.3 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2020 คาดจะเติบโตเฉลี่ย 9.4% ต่อปีจนถึงปี 2028 สะท้อนศักยภาพการเติบโตของอุตสาหกรรมนี้ ทั้งในระดับโลก รวมถึงประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
นอกจากนี้ ยังพบว่าผู้ประกอบการร้านสะดวกซักในปัจจุบัน ส่วนใหญ่จะเลือกใช้เครื่องซักผ้าอุตสาหกรรมจาก Alliance Laundry Systems ประเทศสหรัฐอเมริกา จากความแข็งแกร่งของแบรนด์เป็นที่ยอมรับอันดับ 1 ด้านเครื่องซักผ้าอุตสาหกรรมจากสหรัฐอเมริกา ด้วยมีโรงงานผลิตทั้งในสหรัฐอเมริกา ยุโรป และล่าสุดในประเทศไทย ที่นิคม WHA ระยอง แทนการเลือกใช้เครื่องจากจีนที่แม้ว่าอาจมีต้นทุนต่ำกว่า แต่จากการทำตลาดของเครื่องซักผ้า Alliance ในระยะยาวพบว่าช่วยให้ธุรกิจดำเนินไปได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพมากกว่า
“เรามองเห็นว่าตลาดนี้จะยังคงเติบโตต่อไป โดยนำนวัตกรรมและความยั่งยืนเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจร้านสะดวกซักในประเทศไทยและภูมิภาคนี้ในอนาคต" สุกรี กล่าว
ลูกค้ายุคใหม่ เน้นพึงพอใจขั้นสุด
ด้าน ธามม์ ประวัติตรี กรรมการผู้จัดการ Wow Thai Food B.V. Amsterdam Netherlands กล่าวว่า โลกธุรกิจในปัจจุบัน ต้องปรับตัวอย่างรวดเร็วด้วยการมีวิสัยทัศน์ที่ยาวไกล คือ หัวใจสำคัญของความยั่งยืน การพิจารณาแผนธุรกิจอย่างรอบคอบและปรับปรุงให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงในตลาดเป็นสิ่งที่จำเป็น รวมไปถึงการสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับคู่ค้าและการให้ความสำคัญกับความต้องการของลูกค้า เป็นปัจจัยหลักช่วยเสริมความมั่นคงให้กับธุรกิจ
“หากเจ้าของธุรกิจมีความเข้าใจและสามารถพัฒนาสินค้าและบริการให้มีคุณภาพ และสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าจะช่วยสร้างความภักดีและเสริมสร้างชื่อเสียงของแบรนด์ได้” ธามม์ กล่าว
ด้าน พิมลวรรณ ชีวเกรียงไกร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลอนดรี้บาร์ ไทย จำกัด กล่าวในหัวข้อ "ลงทุนยุคใหม่อย่างสมาร์ต ก้าวไปด้วยนวัตกรรมแห่งโลกแฟรนไซส์" นวัตกรรมในระบบแฟรนไซส์ที่ทันสมัยช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถปรับตัวและขยายตลาดได้อย่างรวดเร็วและยั่งยืน โดยธุรกิจร้านสะดวกซัก พบว่ามีเทคโนโลยีช่วยให้การบริหารจัดการร้านเป็นเรื่องง่ายขึ้น ทั้งการชำระเงินผ่านระบบอัตโนมัติหรือการตรวจสอบการใช้งานของเครื่องซักผ้าผ่านแอปพลิเคชัน ทำให้ผู้ลงทุนสามารถติดตามและควบคุมการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในทุกที่ ทุกเวลา
สำหรับแฟรนไชส์ของ LaundryBar มีจุดเด่นที่ตอบโจทย์ทั้งผู้ใช้บริการและผู้ลงทุน โดยได้ริเริ่มนวัตกรรมเครื่องจ่ายน้ำยาอัตโนมัติที่มีความสะอาดและสะดวกสบาย ด้วยน้ำยาสำหรับเครื่องอุตสาหกรรม ให้ฟรีน้ำยาถึง 3 ชนิด น้ำซักผ้า ,น้ำปรับผ้านุ่ม และฆ่าเชื้อ 99.9% ให้กับผู้ใช้บริการทุกราย พร้อมบริการ Free Wi-Fi และแอปพลิเคชันที่ช่วยอำนวยความสะดวกทั้งด้านการจ่ายเงิน ,สะสมแต้ม และแลกรับส่วนลดจากพาร์ทเนอร์ทางการตลาดต่าง ๆ
นอกจากนี้ สำหรับผู้ลงทุน LaundryBar ยังมีจุดจุดแข็งต่างๆ อาทิ
- ไม่เรียกเก็บส่วนแบ่งรายได้ (No Royalty Fee)
- พันธมิตรทางธุรกิจที่หลากหลาย
- บริการแนะนำแหล่งเงินทุนจากธนาคาร
- ใช้เครื่องซัก-อบอุตสาหกรรม, อุปกรณ์คุณภาพสูง
- ระบบบริหารร้าน 24 ชั่วโมง
ทั้งนี้ เพื่อช่วยให้เจ้าของสามารถตรวจสอบยอดขายและสถานะการทำงานของเครื่องได้จากทุกที่ พร้อมทีมสนับสนุนที่ปรึกษาทางการตลาดและการซ่อมบำรุงหลังการขาย เพื่อตอกย้ำความเชื่อถือมั่นในระบบธุรกิจมีทิศทางการเติบโตอย่างยั่งยืนสู่นักลงทุนชาวไทย
“ลอนดรี้บาร์มองว่าธุรกิจร้านสะดวกซักยังมีโอกาสเติบโตและมีความเสี่ยงที่ต่ำ เนื่องจากเป็นธุรกิจที่อยู่ในปัจจัย 4 ตราบใดที่ผู้คน ยังต้องการสวมใส่เสื้อผ้าที่สะอาดและประหยัดเวลา ไม่ต้องดูแลรักษาเครื่องเองที่บ้าน และหากจะเลือกลงทุนควรศึกษาแบรนด์ที่ดี การบริการหลังการขายและโลเคชันที่ดี นับเป็น Key Factors ที่จะทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จได้” พิมลวรรณ กล่าว
โดยปัจจุบัน ลอนดรี้บาร์ เปิดบริการกว่า 950 สาขา ครอบคลุมมาเลเซีย บรูไน ตุรกี และมีแผนขยายไปยังประเทศ CLMV ในอนาคต ปัจจุบันเปิดให้บริการในประเทศไทยกว่า 300 สาขาทั่วประเทศ