3 ปัจจัยหนุนแรง ธุรกิจมุ่งใช้พลังงานทดแทน Solar D รุกหนักตลาด-พร้อมแผนไอพีโอ ปี’69

3 ปัจจัยหนุนแรง ธุรกิจมุ่งใช้พลังงานทดแทน Solar D รุกหนักตลาด-พร้อมแผนไอพีโอ ปี’69
Solar D ส่งเทคโนโลยีแรกในโลก ‘หุ่นยนต์ติดตั้งโซลาร์เซลล์’ สปีดติดตั้งงานเร็ว 10 เท่า เจาะธุรกิจองค์กรเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสีเขียว หนุนตลาดโซลาร์ 40,000 ล.บาทในไทย ยังขยายเติบโตได้อีก

สัมฤทธิ์ สิทธิวรานุวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โซลาร์ ดี คอร์ปอเรชัน จำกัด หรือ Solar D ผู้จัดจำหน่ายและติดตั้งระบบพลังงานแสงอาทิตย์แบบครบวงจร กล่าวว่า ปัจจุบันตลาดพลังงานทดแทนจากแสงอาทิตย์ (โซลาร์เซลล์) ที่มาจากผู้ให้บริการ (ซัพพลาย) รายใหญ่ คาดมีปริมาณไม่ต่ำกว่า 1,000-2,000 เมกะวัตต์ หรือคิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 30,000- 40,000 ล้านบาทในปัจจุบัน

โดยในอนาคต ตลาดดังกล่าวจะมีแนวโน้มขยายตัวสูงขึ้นในอนาคต จากปัจจัย 1. ความต้องการด้านพลังงานสะอาด ทั้งในกลุ่มธุรกิจเชิงพาณิชย์ องค์กร และ ภาคครัวเรือน 2. การสนับสนุนจากภาครัฐ และ 3.กฎข้อบังคับการค้าจากต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสีเขียว ที่เพิ่มมากขึ้นเป็นต้น

“ปัจจัยดังกล่าว ยังผลักดันให้มีผู้เล่นในตลาดนี้เพิ่มจำนวนขึ้นตามไปด้วย สะท้อนถึงการตื่นตัวและการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้นอีกมากนับจากนี้ไป” สัมฤทธิ์ กล่าว

ขณะที่บริษัทฯ มองเห็นโอกาสการขยายธุรกิจในอนาคต โดยนำประสบการณ์และความเชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมใหม่ๆ มารองรับความต้องการที่เพิ่มมากขึ้น ล่าสุด ฝ่ายวิจัยและพัฒนา (R&D) ของ Solar D ได้คิดค้นผลิตภัณฑ์ที่เป็นเอกสิทธิ์ 'หุ่นยนต์ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์' ในการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคา ที่ช่วยลดระยะเวลาในการติดตั้งได้ภายใน 6 วันต่อ 1 เมกะวัตต์ เมื่อเทียบกับใช้แรงงานคนสำหรับติดตั้งในรูปแบบเดิมจะใช้ระยะเวลา 60  วัน 

สำหรับ 'หุ่นยนต์ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์'  มีประสิทธิภาพในการติดตั้งได้เร็วกว่าถึง 10 เท่า และให้ความแม่นยำสูง พร้อมลดลดจำนวนแรงงานลงได้ครึ่งหนึ่ง รวมถึงลดความเสี่ยงของความเสียหายต่อหลังคา ลดความล่าช้าที่อาจเกิดจากสภาพอากาศ และลดอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นในสถานที่ทำงาน ทำให้ลดต้นทุนค่าใช้จ่ายได้เพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับการติดตั้งแผงโซลาร์ในรูปแบบเดิม หากใช้ระยะเวลาในการติดตั้งได้เร็วขึ้น 1 เดือน จะช่วยให้ประหยัดไฟเพิ่มขึ้นประมาณ 6 แสนบาท จึงเป็นที่มาของการติดตั้งเร็วกว่าก็สามารถลดต้นทุนได้เร็วกว่า

“บริษัทฯใช้งบอาร์แอนด์ดีราว 100 ล้านบาทพัฒนาเทคโนโลยีดังกล่าวตลอดระยะเวลา 3-4 ปีที่ผ่านมาด้วยทีมคนไทย ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็นรายแรกในโลกที่นำโซลูชั่นดังกล่าวมาให้บริการซึ่งมีจุดเด่นทั้ง การประกอบแผงโซลาร์สำเร็จก่อนนำไปติดตั้งบนหลังคา ระบบการขนส่ง และการใช้แอปพลิเคชั่น ในการควบคุมการทำงาน” สัมฤทธิ์ กล่าว

นอกจากนี้ Solar D ยังได้พัฒนาระบบแบตเตอรี่สำรองเพื่อการจัดการพลังงานที่มีประสิทธิภาพสูงสุด เสริมโซลูชันที่ช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานและส่งเสริมภาพลักษณ์ด้านความยั่งยืนของธุรกิจอีกด้วย

สำหรับการทำตลาดหุ่นยนต์ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ ในเบื้องต้นจะรองรับกลุ่มเป้าหมายหลัก อุตสาหกรรมโรงงาน (Commercial and Industrial) ที่มีขนาดใหญ่และต้องการการติดตั้งโซลาร์เซลล์บนหลังคาหรือในพื้นที่กว้าง และมีแผนขยายให้บริการในกลุ่มธุรกิจขนาดเล็กและภาคครัวเรือน ในอนาคตหากมูลค่าตลาดมีต้นทุนต่ำลงจากขนาดที่ใหญ่ขึ้น (อีโคโนมี ออฟ สเกล)

สันติ กล่าวต่อว่าแผนธุรกิจดังกล่าว ยังสอดคล้องกับการดำเนินธุรกิจบริษัทในปี 2568 ซึ่งจะขยายบริการและพัฒนาเทคโนโลยีเพิ่มเติมให้กับหุ่นยนต์ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ เพื่อรองรับโครงการขนาดใหญ่และความต้องการที่ซับซ้อนมากยิ่งขึ้น เพื่อไปสู่เป้าหมายการสร้างความเป็นผู้นำในตลาดพลังงานสะอาดระดับภูมิภาค

ทั้งนี้ยังผลักดัน Solar D ให้เป็นบริษัทที่นักลงทุนให้ความเชื่อถือในด้านนวัตกรรมพลังงานที่ยั่งยืน โดยตั้งเป้าหมายการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยต้นปี 2569 โดยหุ่นยนต์ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์จะช่วยเสริมพอร์ตรายได้ให้กับ Solar D ด้วยเปิดโอกาสในการรับงานโครงการขนาดใหญ่ในภาคอุตสาหกรรมที่ต้องการการติดตั้งที่รวดเร็วและปลอดภัย ซึ่งจะเป็นการสร้างการเติบโตทางธุรกิจในระยะยาว

ขณะที่ ภาพรวมการดำเนินธุรกิจ ในปี 2567 Solar D ได้ทำตลาดผลิตภัณฑ์หลัก ประกอบด้วยการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ (Solar Cell Installation), อีวี ชาร์จเจอร์ (EV charger) และอุปกรณ์กักเก็บพลังงาน อย่าง Tesla Powerwall ซึ่งบริษัทได้เป็นตัวแทนติดตั้งอย่างเป็นทางการ (Certified Installer) รายแรกในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2564 ล่าสุด ในปีนี้ เปิดตัวโซลูชันการติดตั้งพลังงานแสงอาทิตย์แบบครบวงจรสำหรับภาคครัวเรือนและอุตสาหกรรม ทั้งในรูปแบบ Solar Rooftop, Solar Farm และ Solar Floating รวมถึงโครงการติดตั้งขนาดใหญ่

จากแผนดังกล่าว บริษัทฯวางเป้าหมายรายได้ในปี 2567 อยู่ที่ 2,000 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตราว 10 เท่าตัวนับจาก 5 ปีก่อน (ปี2563) บริษัทฯ มีรายได้ราว 200 ล้านบาท โดยในปี 2566 ที่ผ่านมา บริษัทมีผลดำเนินการกว่า 1,400 ล้านบาท