เปิด​ 5 ปัจจัยลบ​ กดดอกเบี้ยไทยปีหน้าแตะ​ 1.50%

เปิด​ 5 ปัจจัยลบ​ กดดอกเบี้ยไทยปีหน้าแตะ​ 1.50%
“อมรเทพ จาวะลา” เปิด​ 5 ปัจจัยลบเศรษฐกิจไทย​ กดดอกเบี้ยไทยปีหน้าแตะ​ 1.50%

ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่า มองต่อไปในปี​ 2025​ เชื่อว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) น่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย​นโยบายลงได้อีกจากระดับ​ 2.25% ในปี​ 2024 สู่ระดับ​ 1.50% ในปี​ 2025​ ด้วย 5 ปัจจัย ​ดังนี้

1. กำลังซื้อครัวเรือนระดับล่างอ่อนแอ​ -​ เศรษฐกิจ​ไทยเติบโตในรูปแบบที่ความเหลื่อมล้ำระหว่างรายได้มีมากขึ้น​ มีความเสี่ยงที่คนรายได้น้อย​จะยังมีปัญหาขาดรายได้​ โดยเฉพาะครัวเรือนภาคเกษตร​ อีกทั้งธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก​ หรือ​ SMEs​ ภาคบริการในต่างจังหวัด​ โดยเฉพาะ​เมืองที่ไม่ได้รับประโยชน์​จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ ยังคงมียอดขายตกต่ำลากยาวต่อเนื่อง​ ซึ่งจะซ้ำเติมการเข้าถึงสินเชื่อจากความเสี่ยงด้านเครดิตที่สูง​ แม้ได้มีมาตรการแจกเงินคนในกลุ่มเปราะบางไปแล้วในปลายไตรมาสสาม​ปี​ 2024​ แต่กิจกรรม​ทางเศรษฐกิจ​กลับไม่คึกคักและคาดว่าเม็ดเงินที่จะแจกต่อไปอาจไม่ได้ให้คนกลุ่มนี้มากเท่าในอดีต

2. ภาคการผลิตซึมยาว - ดัชนีภาคการผลิตหดตัวต่อเนื่อง​ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรม​ยานยนต์​ จากยอดขายรถยนต์ที่หดตัวแรงในปี​ 2024​ แม้เราคาดว่าสถานการณ์​ตลาดรถยนต์​น่าจะกลับมาทรงตัวได้ในช่วงกลางปี​ 2025​ แต่ในช่วงครึ่งแรกของปี​ กำลังซื้อของแรงงานและคนในอุตสาหกรรม​นี้ยังอ่อนแอ​ รวมทั้งมีความเสี่ยงด้านการส่งออกที่อาจเติบโตช้าท่ามกลางสงคราม​การค้า​ ที่อาจกระทบอุตสาหกรรม​อื่นๆ​ เช่น​ อิเล็กทรอนิกส์​ อาหารแปรรูป​ และเคมีภัณฑ์​ ซึ่งจะกดดันกำลังซื้อในภาคอุตสาหกรรม​ได้

3. อัตราเงินเฟ้อต่ำไม่ถึงกรอบล่างนโยบายการเงิน -​ เราคาดว่าอัตราเงินเฟ้อในปี​ 2025​ จะเฉลี่ยที่ระดับ​ 1.0% ซึ่งแตะกรอบล่างของเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อที่ระดับ​ 1.0%-3.0% แต่หากกำลังซื้ออ่อนแอ​จากทั้งภาคเกษตร​ อุตสาหกรรม​ และบริการในกลุ่มที่ไม่ใช่ภาคการท่องเที่ยวแล้ว​ ราคาสินค้าก็ยากที่จะขยับขึ้นได้​ นอกจากปัจจัยด้านอุปสงค์อ่อนแอแล้ว​ เศรษฐกิจ​ไทยยังมีปัญหาอื่นที่กระทบผู้ประกอบการไทย ในปี​ 2025​ เราคาดว่าราคาน้ำมันดิบจะลดลงซึ่งแม้จะช่วยทำให้ต้นทุนสินค้าลดลง​ตามค่าขนส่ง​ ​แต่จากการแข่งขันที่รุนแรง​ เราห่วงว่าราคาสินค้าอาจปรับย่อลงมากจนกระทบผู้ประกอบการ​ รวมทั้งสินค้าราคาถูกจากจีนที่ทะลักเข้ามาจนผู้ประกอบการไทยแข่งขันยากลำบาก​อาจทำให้ธุรกิจต้องปิดตัวลง​ ซึ่งปัจจัยด้านหลังอาจไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการลดอัตราดอกเบี้ย​ แต่ดอกเบี้ยที่ลดลงก็น่าจะช่วยพยุงนักธุรกิจ​ไทยได้บ้างในช่วงที่การส่งผ่านของอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงไปสนับสนุนกำลังซื้อคนในประเทศ

4. เศรษฐกิจ​ไทยขยายตัวต่ำลากยาว -​ ศักยภาพ​ของ​เศรษฐกิจ​ไทยน่าจะเติบโตได้ไม่ถึง​ 3% ในระยะยาว​ อาจจำกัดไว้ที่​ 2.50-3.00% ในอีก​ 5 ปีและอาจปรับลดลงไปต่ำกว่า​ 2.50% ในภายหน้า​ ที่เศรษฐกิจ​ไทย​เสี่ยงโตช้าลงในระยะยาวเพราะปัญหาเชิงโครงสร้าง​ ทั้งสังคมสูงวัย​ ขาดแคลนแรงงาน​ ทักษะแรงงานต่ำ​ การลงทุนภาคเอกชนต่ำ​ ขาดนวัตกรรม​และอื่นๆ​ มากมาย​ ซึ่งอาจมองว่าการลดอัตราดอกเบี้ยไม่ได้แก้ที่ต้นเหตุ​ แต่เราก็พอเห็นได้ว่าหากอัตราดอกเบี้ย​ลดลงได้จริงก็น่าสนับสนุนการลงทุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ​การผลิต​ของแรงงานและช่วยให้เศรษฐกิจ​ไทยขยายตัวได้ดีขึ้นในระยะยาว

5. เผชิญสงครามค่าเงิน -​ สุดท้ายสงครามการค้ามักนำไปสู่สงครามค่าเงิน​ เพราะเมื่อสหรัฐ​ตั้งกำแพงภาษีจากจีนและประเทศที่เกินดุล​การค้า​กับสหรัฐ​ ประเทศจีนและประเทศอื่นๆ​ รวมทั้งไทย จะเผชิญความลำบากในการส่งออก​ หากต้องการส่งออกมากขึ้นก็ต้องเพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้านราคา​ นั่นคือขายของให้ถูกลงในรูปสกุลเงินดอล​ลาร์สหรัฐ​ ซึ่งหนีไม่พ้นการหามาตรการปล่อยให้ค่าเงินตัวเองอ่อนค่าเทียบดอลลาร์​สหรัฐและคู่แข่ง​ ทั้งนี้​ มาตรการทางการเงินสามารถ​สนับสนุนให้ค่าเงินอ่อนค่าได้ด้วยการลดดอกเบี้ย​เพื่อลดความน่าสนใจของสกุลเงินตัวเอง​ สนับสนุน​ให้​เกิด​เงินไหลออก​ แต่ต้องระวังว่าทรัมป์อาจเพ่งเล็ง​ประเทศเหล่านี้ว่าบิดเบือน​ค่าเงิน​ หรือทำค่าเงินให้อ่อนเกินปัจจัยพื้นฐานเพื่อให้เกินดุลการค้า​กับสหรัฐ​ ซึ่งจะเสี่ยงโดนจัดเก็บภาษีเพิ่มขึ้น

ด้วยปัจจัยเหล่านี้​ เราจึงเตรียมรับมือดอกเบี้ยที่ลดลงเพื่อปรับสมดุล​กับเศรษ​ฐกิจไทยที่เปลี่ยนแปลงไป​ ซึ่งไม่ใช่ดอกเบี้ยขาลงเพื่อรับมือกับวิกฤติ​เศรษฐกิจ​หรือความเสี่ยงเศรษฐกิจ​ถดถอย​ และเชื่อว่าหากในอนาคต​ เศรษฐกิจ​ไทยต้องเผชิญ​ปัญหา​ในรูปแบบอื่น​ ธนาคารแห่งประเทศไทย​ก็จะมีเครื่องมือในการรับมือได้​ ไม่ได้สูญเสียขีดความสามารถ​ใน​การ​ดำเนิน​นโยบาย​การเงิน​แต่อย่างไร​ และน่าเห็นรอบการลดอัตราดอกเบี้ยนี้ตั้งแต่การประชุมแรกของปี​ 2025​ และไปจบรอบการลดอัตราดอกเบี้ย​ในช่วงไตรมาส​สาม

อย่างไรก็ดี​ ปี​ 2025​ เป็นปีที่มีความผันผวนและความไม่แน่นอนภาคต่างประเทศสูง​ ซึ่งอาจทำให้ทา กนง. ลดอัตราดอกเบี้ย​น้อยกว่า​คาด​ เช่น​ ปัญหาเงินเฟ้อในสหรัฐรุนแรง​ขึ้น​จนกระทบเงินเฟ้อโลก​ ราคาน้ำมันดีดตัวสูงขึ้นจากปัญหาภูมิ​รัฐศาสตร์​ในรัสเซีย​และในตะวันออกกลาง​ รวมทั้งความเป็นไปได้ที่สงครามการค้าอาจเลื่อนออกไปหรือลดความรุนแรง​ลง​ รวมทั้งอาจมีมาตรการดูแลปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ช่วยคนมีภาระหนี้เฉพาะกลุ่ม ซึ่งล้วนพอจะทำให้นโยบายการเงินต้องให้น้ำหนักด้านเสถียรภาพ​ทางเศรษฐกิจ​ควบคู่ไปกับการดูแลด้านเงินเฟ้อและการเติบโตทางเศรษฐกิจ​ในระยะยาว​ และอาจลดอัตราดอกเบี้ย​เหลือเพียง​ 1.75% เท่านั้นและจบรอบการลดอัตราดอกเบี้ย​ในช่วงไตรมาสสอง

TAGS: #เศรษฐกิจไทย