ส.อ.ท.หวังเป้าผลิตรถ 1.5 ล้านคัน รับสภาพเศรษฐกิจโตต่ำฉุดยอดขายในประเทศร่วงหลังแบงก์ไม่ปล่อยกู้ ขณะที่ดีลควบรวมฮอนด้า-นิสสัน ส่งผลไทยมีโอกาสเป็นฐานผลิต EV
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยถึงสถานการณ์อุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศว่า ภาพรวมยังไม่ดีขึ้น โดยเฉพาะยอดจำหน่ายรถยนต์ในประเทศแย่กว่าช่วงเกิดเหตุการณ์โควิด ทั้งรถประเภทสันดาปและรถEV ซึ่งต้องติดตามเป้าหมายผลิตรถยนต์ในปีนี้จะทำได้ 1.5 ล้านคันหรือไม่ หลังจากที่มีการปรับลดลงมาล่าสุด
สำหรับยอดขายรถยนต์ภายในประเทศของเดือนพ.ย.2567 มีจำนวนทั้งสิ้น 42,309 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนตุลาคม 2567 ร้อยละ 12.25 แต่ลดลงจากเดือนพฤศจิกายน 2566 ร้อยละ 31.34 โดยมีปัจจัยสำคัญจากการเข้มงวดการอนุมัติสินเชื่อของสถาบันการเงินเพราะเศรษฐกิจในประเทศที่อ่อนแอเติบโตในอัตราต่ำที่ 3% ในไตรมาสสามของปีนี้
ขณะที่หนี้เสียรถยนต์เพิ่มขึ้น 22.8% จากไตรมาสสามปีที่แล้ว หนี้ครัวเรือนสูงถึง 89.6% ของ GDP ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมยังคงลดลง ยอดขายบ้านลดลงจากปีที่แล้ว รวมทั้งการลงทุนภาคเอกชนยังอยู่ในอัตราต่ำ
ทั้งนี้รถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ มีจำนวน 25,347 คัน เท่ากับร้อยละ 59.91 ของยอดขายทั้งหมด ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 29.17 ส่วน รถกระบะมีจำนวน 11,481 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 35.69
ด้านยอดขายในประเทศ 11 เดือนแรก จำนวน 518,659 คัน ลดลงจากปีก่อนร้อยละ 26.69 แยกเป็น รถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ มีจำนวน 309,651 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 15.74 รถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์สันดาปภายใน (ICE) 140,670 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วที่ร้อยละ 36.35
ส่วนรถยนต์นั่งแหละรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้า (BEV) 61,443 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วที่ร้อยละ 5.20 รถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้าผสมแบบเสียบปลั๊ก (PHEV) 2,104 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 17.67 ร ถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้าผสม (HEV) 105,434 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 32 และรถกระบะมีจำนวน 148,937 คัน ลดลงร้อยละ 39.26 รถ PPV มีจำนวน 32,349 คัน ลดลงร้อยละ 42.03
การผลิตจำนวนรถยนต์ทั้งหมดที่ผลิตได้ในเดือนพ.ย.จำนวน 117,251 คัน เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนลดลง ร้อยละ 28.23 จากการผลิตส่งออกลดลงร้อยละ 20.67 และผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศลดลงร้อยละ 40.42 และลดลงจากเดือนตุลาคม 2567 ร้อยละ 1.34 ส่งผลให้ 11เดือน ผลิตได้ 1,364,119 คัน เทียบกับปีก่อนลดลง ร้อยละ 20.14
ทั้งนี้การผลิตรถยนต์เพื่อส่งออกเดือนพฤศจิกายน 2567 ผลิตได้ 80,022 คัน เท่ากับร้อยละ 68.25 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากเดือนพฤศจิกายน 2566 ร้อยละ 20.67 ส่วน ช่วง 11 เดือน ผลิตเพื่อส่งออกได้ 941,938 คัน เท่ากับร้อยละ 69.05 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากปี 2566 ระยะเวลาเดียวกันร้อยละ 12.25
ด้านการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป เดือนพฤศจิกายน 2567 ส่งออกได้ 89,646 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้วร้อยละ 6.30 แต่ลดลงจากเดือนพฤศจิกายน 2566 ร้อยละ 10 เพราะปีที่แล้วฐานสูงและสงครามอิสราเอลกับฮามาสขยายไปหลายพื้นที่ทำให้จำนวนเที่ยวเรือมารับรถน้อยลงรวมทั้งหลายประเทศในเอเชียได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจของประเทศจีนที่ชะลอตัวลง จึงส่งออกลดลงในตลาดเอเชีย ออสเตรเลีย ตะวันออกกลางและยุโรป อเมริกากลางและอเมริกาใต้ ส่งออกเพิ่มขึ้นตลาดอเมริกาเหนือแห่งเดียว โดย 11 เดือน มีการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป 942,867 คัน ลดลงร้อยละ 8.21
“ปีนี้เป้าการผลิตรถยนต์คงต้องดูว่าจะทำได้ 1.5 ล้านคันหรือไม่ เพราะยอดขายในประเทศลดลงไปมากสะท้อนว่าเศรษฐกิจเติบโตต่ำ ขณะที่ยอดจองรถยนต์ในมอเตอร์โชว์ล่าสุดแม้จะมากกว่าปีก่อนแต่ต้องดูว่าจะผ่านการพิจารณาสินเชื่อแค่ไหน ซึ่งยอดขายทั้งปีน่าจะไม่เกิน 6 แสนคัน”
นายสุรพงษ์ กล่าวถึง อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า(EV) ว่า ในอนาคตจะมีค่ายรถยนต์หันมาผลิตกันมากขึ้น ใน ประเภท HEV ทั้งญี่ปุ่น ยุโรป และสหรัฐ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากหลายประเทศนำนโยบายการเก็บภาษีคาร์บอนมาใช้ ซึ่งจะมีผลต่อต้นทุนของรถยนต์สันดาป
นอกจากนี้ดีลการควบรวมของบริษัท ฮอนด้า มอเตอร์ และบริษัทนิสสัน มอเตอร์ จะส่งผลดีมากกว่าผลกระทบกับไทยในอนาคตได้ เนื่องจากเป็นการส่งสัญญาณการเตรียมพร้อมของการผลิตรถยนต์ EV ซึ่งทั้ง 2 บริษัท มีโรงงานในประเทศไทย ก็มีโอกาสที่จะกำหนด สายการผลิต EV เพื่อส่งออกได้
ปัจจุบันยานยนต์ไฟฟ้าป้ายแดงประเภท BEV เดือนพฤศจิกายน 2567 มีจำนวน 7,354 คัน ลดลงจากเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้วร้อยละ 34.86 โดยช่วง 11 เดือน มียอด จดทะเบียนใหม่สะสมมีจำนวน 89,658 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.94 ส่วนยานยนต์ไฟฟ้าป้ายแดงประเภท HEV เดือนพฤศจิกายน 2567 มีจำนวน 8,409 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.76 ขณะที่ 11 เดือน มียอดสะสม 121,228 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 52.37