‘ไพลิน’ ซีอีโอ ‘มัลตี้ บิวตี้’ มองตลาดค้าปลีกความงาม ถึง ‘K-Wave’ จะแผ่วแต่ก็ยังไปต่อได้แรง

‘ไพลิน’ ซีอีโอ ‘มัลตี้ บิวตี้’ มองตลาดค้าปลีกความงาม ถึง ‘K-Wave’ จะแผ่วแต่ก็ยังไปต่อได้แรง
‘มัลตี้ บิวตี้’ แบรนด์ร้านค้าปลีกความงามสไตล์เกาหลีของคนไทยที่เปิดสาขาแรกราว 8 ปีก่อนในย่านสยามสแควร์ ถึงวันนี้มีสาขา 10 แห่งแล้วพร้อมยอดขายโตต่อเนื่อง ท่ามกลาง ‘เรด โอเชี่ยน’ และคลื่นเกาหลีที่อ่อนแรง

ไพลิน อึ๊งพลาชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท มัลตี้ บิวตี้ จำกัด ย้อนเส้นทางการทำธุรกิจร้านค้าปลีกความงาม มัลตี้ บิวตี้ (Multy Beauty) เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อ 7 ปีก่อน ซึ่งเธอ เล่าว่าได้ตัดสินใจลาออกจากงานประจำในสายอาชีพ ‘ดีเทลยา’ ที่แม้ว่าจะมีรายได้ตอบแทนที่น่าพอใจมากๆ แถมเธอยังตั้งท้องลูกสาวคนแรกอีกในช่วงนั้น 

แต่ด้วย ‘Passion’ ความมุ่งมั่นที่อยากจะทำธุรกิจของตัวเองบบสุดๆ ทำให้เธอตัดสินใจไม่ยากมากนักกับการใช้เงินลงทุนในก้อนแรกหลักแสนบาท มาสร้างธุรกิจขึ้นเป็นของตัวเอง

ถึงในปี 2568 นี้ ‘มัลตี้ บิวตี้’ ได้เดินทางเข้าสู่ปีที่ 8 แล้ว 

สำหรับชื่อร้าน  ‘Multy Beauty’ ไพลิน ได้บอกเล่าที่มาจากคำว่า Multi ความหลากหลายของสินค้าความงามแบรนด์เกาหลี ที่นำเข้ามาจำหน่ายในร้าน และเอามาปรับรูปการออกเสียงคำใหม่จนกลายเป็นชื่อร้าน มัลตี้ บิวตี้ ในที่สุด  

ผู้บริหารสาว ฉายภาพให้เห็นพร้อมเสริมว่า “ช่วงสิบปีก่อนกระแสเค-ป๊อปในไทยมาแรงมาก บวกกับความชอบส่วนตัวในศิลปินเกาหลียุคนั้น ซึ่งก็มาพร้อมกับเทรนด์การแต่งหน้าสไตล์เกาหลี ที่โชว์งานผิวด้วยสกินแคร์และรองพื้นผิวด้วยคุชชั่นที่เราหาซื้อในไทยไม่ได้ที่สร้างแรงบันดาลใจให้อยากเปิดร้านเพื่อทำตลาดสกินแคร์และเมคอัพแบรนด์เกาหลีขึ้นมา” 

 

‘ฟังเสียงลูกค้า’ ยังได้ผลเสมอ

 

เธอ บอกว่าในช่วงแรกของการทำธุรกิจร้านมัลตี้ บิวตี้ ยังเป็นการลองผิดลองถูก เริ่มตั้งแต่การเปิดสาขาแรกอยู่ที่ตึกโรงภาพยนต์ลิโด้ สยามสแควร์ ในคูหาขนาดพื้นที่ 12 ตร.ม. ด้วยเงินลงทุนก้อนแรกหลักแสนบาท เพื่อนำมาใช้ทั้งการตกแต่งร้าน และ เป็นทุนหมุนเวียนจัดหาสินค้ามาขายในร้านช่วงนั้นที่มีอยู่ราวกว่าสิบแบรนด์  

“วันแรกขายไม่ได้เลย ส่วนหนึ่งมาจากผังของร้านคือลูกค้าที่เข้ามาแล้วต้องรอเดินออกไปก่อน หมุนเวียนไม่สะดวก รวมถึงการดิสเพลย์สินค้าเครื่องสำอางที่ทำชั้นวางที่ลึกมากไปทำให้แต่ะไอเทมสินค้าไม่โดดเด่น” 

แต่จากความอึดและอดทนของตัวเองที่พร้อมจะไปต่อในการทำธุรกิจ พร้อมมีการพูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นที่ได้จากลูกค้า ‘มัลตี้ บิวตี้’ สม่ำเสมอ ที่ต่อมาได้กลายมาเป็นผู้แนะนำในด้านต่างๆ รวมถึงสินค้าที่ต้องการจากมัลตี้ฯ ซึ่งก็พร้อมจัดหามาให้ได้ตลอด เป็นแรงผลักดันให้กลายเป็นจุดแข็งของร้านในฐานะร้านค้าปลีกความงามแบรนด์เกาหลีที่แตกต่างไปจากร้านอื่นๆในยุคนั้น และใช้เวลาราว 1-2 ปี จึงได้ขยับขยายไปร้านใหม่ในย่านนี้ ด้วยขนาดมีพื้นที่ใหญ่กว่าเดิมถึง 2 เท่าตัว   

เรียกได้ว่า มัลตี้ฯ เติบโตมาพร้อมกับฐานลูกค้ามาตลอดระยะเวลา 8 ปีที่ผ่านมา จนถึงในปัจจุบันมีสาขาร้านเปิดให้บรริการร่วม 10 แห่ง ประกอบด้วย 

  • สยามสแควร์ (2 สาขา)
  • ฟิวเจอร์ พาร์ค รังสิต 
  • เมกา บางนา
  • แฟชั่น ไอส์แลนด์
  • ยูเนี่ยน มอลล์ 
  • ซีคอน ศรีนครินทร์ 
  • เดอะมอลล์ บางแค 
  • อิมพีเรียล สำโรง
  • เดอะ เซ็นจูรี่ มูฟวี่ พลาซ่า 

ความท้าทายธุรกิจ เมื่อคลื่นเกาหลีอ่อนแรง 

 

ไพลินเล่าต่อว่าตลอดระยะเวลาการทำธุรกิจร่วม 8 ปีในปัจจุบัน ยังได้เผชิญกับความเปลี่ยนแปลงในหลายด้าน ทั้งกลุ่มลูกค้าเดิมที่เติบโตมาพร้อมกับมัลตี้ บิวตี้ ที่มีช่วงวัยเปลี่ยนไปแล้วในปัจจุบัน รวมไปถึงการแข่งขันของตลาดร้านค้าปลีกความงามแบรนด์ใหม่ๆ ที่เข้ามาต่อเนื่อง เพื่อเจาะช่องว่างฐานลูกค้ากลุ่มเจนเนอเรชั่นใหม่ที่มีอายุน้อยลง 

แนวโน้มดังกล่าวสะท้อนเป็นอย่างดีถึงโอกาสทางธุรกิจยังมีอยู่เสมอสำหรับผู้ที่มองเห็นและคว้าไว้ใด้ เช่นเดียวกับตัวเธอเมื่อครั้งตัดสินใจมาเป็นเจ้านายตัวเองด้วยความมุ่งมั่นพร้อมชุดคำสั่งว่า "ถ้าเราไม่รีบทำธุรกิจเองในตอนนี้ แล้วจะไปเริ่มตอนช่วงไหน?"

“ยิ่งเริ่มได้เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งมีโอกาสได้ลองในรูปแบบหลายๆวิธี เพื่อใช้เป็นประสบการณ์ในการทำธุรกิจได้มากขึ้น ด้วยมาถึงในวันนี้ ความเหนื่อยในการทำงานกลายเป็นสิ่งที่คุ้นเคยที่สร้างความสุขในการทำงานไปแล้ว” พร้อมเสริมอีกว่า 

ต่อการดำเนินงานของ มัลตี้ บิวตี้  ในปีที่ 8 นี้ จะยังตอกย้ำตำแหน่งธุรกิจในฐานะร้านค้าปลีกความงามเครื่องสำอางแบรนด์เกาหลี ไว้อย่างต่อเนื่อง ด้วยมองว่าตลาด K-Beauty ความงามเกาหลีจะยังเป็นเทรนด์ต่อเนื่องไม่ได้น้อยลงแต่อย่างใด แม้ว่ากระแสคลื่นเกาหลี K-Wave จะเริ่มอ่อนแรงไปบ้างก็ตาม 

“เค-บิวตี้ จะยังเป็นคีย์หลักในตลาดเอเชียส่วนหนึ่งสะท้อนจากความเคลื่อนไหวของแบรนด์ความงามในยุโรปรายใหญ่ที่หันมาสนใจและเข้าซื้อแบรนด์เครื่องสำอางเอาหลีเพื่อโฟกัสการทำตลาดในภูมิภาคนี้มากขึ้น” ไพลิน กล่าว

 

ปี’68 มุ่งสู่ Top of mind Brand

 

ขณะที่ มัลตี้ บิวตี้ ถือเป็นเวนเดอร์ผู้ขายรายเล็กที่รวบรวมแบรนด์สินค้าความงามจากเกาหลีมาทำตลาดที่ผลักดันให้ธุรกิจเติบโตมาจากความแตกต่างในตลาดตลอดช่วงที่ผ่านมา พร้อมมองถึงความท้าทายของธุรกิจจากนี้ไป คือ การสร้างให้ มัลตี้ บิวตี้ เป็น ท้อป ออฟ มายด์ แบรนด์ ในกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่ช่วงวัย 17-24 ปี จากไลน์อัปสินค้ากลุ่มเมคอัพ ที่สร้างยอดขายหลักให้กับร้านมาอย่างต่อเนื่อง 

พร้อมกันนี้ มัลตี้ บิวตี้ ยังวางแผนปรับพอร์ตสินค้าใหม่ โดยเพิ่มสัดส่วนกล่มสินค้าดูแลผิว (Skincare) เพื่อรองรับกระแสความงามแบบโชว์​ผิวและเข้าถึงลูกค้าช่วงวัย 50-60 ปี ที่มีกำลังซื้อสูงและให้ความสำคัญในการดูแลตัวเองและความงามมากขึ้น จากกลุ่มลูกค้าหลักมีช่วงวัย 24-35 ปี ซึ่งเป็นฐานลูกค้าเดิมของมัลตี้ บิวตี้ ที่เติบโตมาพร้อมกับ  

ขณะที่ในปี2568 มัลตี้ บิวตี้ จะปรับสัดส่วนกลุ่มสินค้าเมคอัพและสกินแคร์อยู่ที่ 50% เท่ากัน เพื่อรองรับความต้องการในทุกกลุ่มเป้าหมายดังกล่าว จากก่อนหน้ามีสัดส่วนอยู่ที่ 70% และ 30% ตามลำดับ  โดยปัจจุบันมัลตี้ บิวตี้ มีสินค้าวางจำหน่ายไม่ต่ำกว่า 300-400 แบรนด์ และมีการใช้จ่ายเฉลี่ย 600 บาท/บิล

โดยตลอดช่วงการทำธุรกิจที่ผ่านมา ไพลิน บอกว่ายังทำให้เธอมองเห็นโอกาสใหม่ในการทำธุรกิจที่ได้จากประสบการณ์ ที่นำไปสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับความต้องการของลูกค้า หลังการทดลองใช้ผลิตภัณฑ์เมคอัพต่างๆ บนผิวของตัวเอง แล้วต้องการทำความสะอาด ซึ่งจากโจทย์นี้ได้นำไปสู่การพัฒนาสินค้าไอเท็มแรก คือ คลีนซิ่ง (Cleansing) ภายใต้แบรนด์ ‘อึมกอน’ ที่วางจำหน่ายเฉพาะในช่องทางขายทั้งออนไลน์และออฟไลน์ของ มัลตี้ บิวตี้ เท่านั้น  ซึ่งในอนาคตอาจมีแผนนำแบรนด์ดังกล่าวขยายสู่ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ในอนาคต 

นอกจากการจัดพอร์ตสินค้าใหม่แล้ว มัลตี้ บิวตี้ ยังให้ความสำคัญในกลยุทธ์การบริหารลูกค้าสัมพันธ์ CRM จากปัจจุบันมีฐานสมาชิกบัตร (Card Member) หลักล้านรายและมีการใช้จ่ายเป็นประจำ (Active) มากกว่า 50% แล้ว ที่จะนำไปต่อยอดในการบริหารสินค้าความงามที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายให้ได้มากที่สุด

ขณะที่ในปีนี้ มัลตี้ บิวตี้ จะยังให้ความสำคัญในการทำตลาดทั้ง 10 สาขาในกรุงเทพฯ เป็นหลัก และอยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ในการขยายสาขาออกต่างจังหวัด ที่มีศัยภาพ เช่น เชียงใหม่ และ  นครราชสีมา  

พร้อมวางเป้าหมายทั้งด้าน รายได้ธุรกิจในปี 2568 อยู่ที่ 10% จากในปี 2567  ซึ่งมีการเติบโตมากกว่า 1 เท่าตัวในปีก่อนหน้า และการเป็น Top3 แบรนด์ร้านค้าปลีกความงามในใจผู้บริโภคชาวไทย ที่ผลักดันให้ธุรกิจมีรายได้ไปสู่หลักพันล้านบาท ได้ในอนาคต   

ไพลิน กล่าวว่า การเดินทางของ มัลตี้ บิวตี้ ในปัจจุบันที่เข้าสู่ปีที่8 ด้วยจำนวนพนักงานรวมกว่า 40 คน จาก Day1 ในวันแรกที่มีพนักงาน 1 คนถ้วน คือ 'เธอเท่านั้น' ด้วยหากมองย้อนกลับไปต้องขอบคุณตัวเองจากความกล้าตัดสินใจ ที่จะลุกขึ้นมาเพื่อเป็นผู้ประกอบการในวันนั้น ซึ่งเธอบอกว่า ‘ยิ่งลงมือทำได้เร็วก่อนก็ยิ่งได้เปรียบกว่า’

TAGS: #MultyBeauty #มัลตี้บิวตี้ #ตลาดความงาม