ออริจิ้น ในปี68 มุ่งระวังทำธุรกิจ-เปิดโครงการใหม่ใช้แผนยืดหยุ่น ตามสถานการณ์ พร้อมวางฐาน New S-Curve ขยายพอร์ตธุรกิจเกี่ยวข้องอสังหาฯ รับโตยั่งยืน
พีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จํากัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่าในปี 2568 บริษัทฯ จะให้ความสําคัญ คือ การปรับตัว ระมัดระวังในการดําเนินธุรกิจ โดยสอดคล้องกับการพิจารณาการเปิดตัวโครงการใหม่นั้น จึงมีความยืดหยุ่น เพิ่ม หรือ ลด ตามความเหมาะสมของสถานการณ์
ขณะเดียวกันก็มองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ เพื่อสร้างเป็นรากฐานของ New S-Curve ขยายพอร์ตธุรกิจเกี่ยวข้องอสังหาฯทั้งธุรกิจที่สร้างรายได้ประจํา และ ธุรกิจเมกะเทรนด์ รวมถึงร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจทั้งรายเก่าและรายใหม่ในหลากหลายอุตสาหกรรมตามแผนสร้างการเติบโตและการดูแลผู้บริโภคแบบไม่สิ้นสุด
“การเลือกเปิดตัวโครงการใหม่ จะต้องมีองค์ประกอบครบถ้วนและโดดเด่น เพื่อสร้างแรงกระตุ้นให้ผู้บริโภคสนใจเดิมที่มีแผนจะซื้ออยู่แล้วแต่อาจลังเลในช่วงที่ผ่านมา ให้รู้สึกว่า ออริจิ้น มีของดีมานําเสนอแบบที่พลาดไม่ได้จริงๆ และเพื่อให้ธุรกิจเติบโต อย่างมั่นคงและยั่งยืน” พีระพงศ์ กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังวางแผนเดินสายโรดโชว์ในปี 2568 พร้อมเตรียมเปิดสํานักงานขายในต่างประเทศ เพื่อนําอสังหาฯไทยเจาะตลาดโลก จากในปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ปรับทีมผู้บริหารใหม่ และปรับโครงสร้างใหญ่กลุ่มธุรกิจคอนโดฯ เพื่อรองรับการเติบโตยั่งยืนธุรกิจในอนาคต
พีระพงศ์ กล่าวว่า จากในปี 2567 ที่ผ่านมาภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยนั้นเผชิญกับความท้าทายจากปัจจัยเสี่ยงในหลายๆ ด้าน ซึ่งบริษัทฯ ยังทำยอดขาย (Presales) จากโครงการที่อยู่อาศัยได้ 35,435 ล้านบาท จากเป้าหมายที่ตั้งไว้ 35,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น
- ยอดขายจากโครงการบ้านจัดสรรหรือที่อยู่อาศัย แนวราบภายใต้ บริษัท บริทาเนีย จํากัด (มหาชน) อยู่ที่ 6,544 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 18%
- ยอดขายที่อยู่อาศัยแนวสูง(คอนโดมิเนียม) อยู่ที่ 28,891 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 82% ภายใต้ บริษัท ออริจิ้น เวอร์ติเคิลคอร์ปอเรชั่น จํากัด หรือ ORIGIN VERTICAL
ทั้งนี้ จากยอดขายรวมทั้งหมดในปีที่ผ่านมา แบ่งสัดส่วนตามสถานะโครงการเป็น ที่อยู่อาศัยพร้อมอยู่ (Ready to move) คิดเป็น 55% โดยเป็นโครงการพร้อมอยู่นั้นมีทั้ง คอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว บ้านแฝดกระจายทําเลทั้งในกรุงเทพฯ และหัวเมืองหลักในต่างจังหวัด ส่วนสัดส่วนที่เหลือประมาณ 45% เป็นยอดขายจากโครงการที่เปิดขายใหม่ หรืออยู่ระหว่างดําเนินการก่อสร้าง(Ongoing)
โดยโครงการเปิดใหม่ในปี 2567 เน้นพื้นที่ทําเลระดับท้อปของประเทศรวมทั้งสิ้น 12 โครงการ มูลค่ารวม 19,400 ล้านบาท แบ่งเป็นที่อยู่อาศัยแนวราบ 4 โครงการ มูลค่ารวม 4,900 ล้านบาท และเป็นคอนโดมิเนียม 8 โครงการ มูลค่า 14,500 ล้านบาท
สําหรับโครงการคอนโดฯพัฒนาภายใต้แนวคิด ‘Creative Living for All’ สู่ผู้บริโภค มูลค่ารวมกว่า 14,500 ล้านบาท อาทิ
- โครงการโซ ออริจิ้น บางเทา บีช (SO Origin Bangtao Beach) เป็นคอนโดมิเนียมระดับ Luxury สูง 8 ชั้น จํานวน 3 อาคาร 545 ยูนิต และ 1 คลับเฮ้าส์ มูลค่าโครงการ 2,500 ล้านบาท ที่ปัจจุบันมียอดขายไปแล้ว 77%
- โครงการ ดิ ออริจิ้น ศรีราชา (The Origin Sriracha) คอนโด Low Rise 2 อาคาร ความสูง 8 ชั้น จํานวน 499 ยูนิต ตกแต่งสไตล์ญี่ปุ่ น บนทําเลศักยภาพติดถนนใหญ่ ศรีราชา-หนองค้อ ใกล้ J-Park เพียง 3 นาที ใกล้โรงเรียนอัสสัมชัญศรีราชา เดินทางสะดวก ใกล้ด่านมอเตอร์เวย์ แหลมฉบัง-กรุงเทพ มูลค่ารวม 750 ล้านบาท ซึ่งมียอดขายแล้วประมาณ 50%
- โครงการ ออริจิ้น เพลส เตาปูน อินเตอร์เชนจ์ (Origin Place Taopoon Interchange) คอนโด High Rise สูง 32 ชั้น จํานวน 673 ยูนิต + 2 ร้านค้า เป็นห้อง เพดานสูง 4.2 เมตร* เลี้ยงสัตว์ได้ มูลค่ารวม 2,300 ล้านบาท ขายไปแล้ว 66% เป็นต้น
ส่วนโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบเปิดใหม่ 4 โครงการ มูลค่ารวม 4,900 ล้านบาท พัฒนาภายใต้แนวคิด ‘Crafting for Everlasting Growth’ รังสรรค์เพื่อการเติบโตอย่างมั่นคง ภายใต้ 3 Dimensions Strategy ประกอบด้วย
- โครงการ ดุสิตสวีท เรสซิเดนเซส เขาใหญ่ (Dusit Suites Residences Khaoyai)
- โครงการ บริทาเนีย เวสต์เกต (Britania Westgate)
- โครงการ บริทาเนีย ราชพฤกษ์ 345 (Britania Ratchaphruek 345)
- โครงการ เบลกราเวีย เอ็กซ์คลูซีฟ ราชพฤกษ์-พระราม 5 (Belgravia Exclusive Ratchaphruek-Rama 5)
พีระพงศ์ กล่าวว่า สำหรับคีย์ ซัคเซส ที่เป็นปัจจัยสําคัญที่ทําให้ ออริจิ้น ประสบความสําเร็จในปี 2567 ที่ผ่านมา ด้วยกลยุทธ์การดําเนินธุรกิจภายใต้ 3I คือ ‘Insight -Initiative-Implementation’ ทำความเข้าใจลูกค้าแบบเจาะลึก ทั้งด้านการพัฒนาสินค้าตอบโจทย์ตลาดยุคใหม่ พร้อมจัดทัพผู้บริหาร ปรับโครงสร้างกลุ่มธุรกิจ
นอกจากนี้ ภายใต้กลยุทธ์สร้างประสบการณ์ที่ดีด้านที่อยู่อาศัยให้กลุ่มลูกค้าบ้านและคอนโดฯแล้ว การเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันทางธุรกิจ เพื่อสร้างโอกาสด้านการตลาดและการขายเข้าถึงลูกค้ารายใหม่ ด้วยการตลาดเชิงรุกเจาะกลุ่มลูกค้าต่างชาติ เปิดตัว Origin Agent Club จับมือเอเจนท์กว่า 300 ราย เป็นอีกหนึ่งความสําเร็จที่ทําให้ยอดขายต่างชาติทั้งปีทะลุ 5,700 ล้านบาท เติบโต 225% และสูงสุดเป็นประวัติการณ์ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา
สําหรับ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จํากัด (มหาชน) หรือ ORI มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ภายใต้ 4 กลุ่มธุรกิจ
1. กลุ่มธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Residential Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรรมาแล้ว 167 โครงการ (ณ สิ้นไตรมาส 4/2567) เช่น แบรนด์ พาร์ค ออริจิ้น (Park Origin), โซ ออริจิ้น (So Origin), ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ (Origin Plug & Play), ไนท์บริดจ์ (Knightsbridge), นอตติ้ง ฮิลล์ (Notting Hill), ออริจิ้น เพลส (Origin Place), ดิออริจิ้น (The Origin), เคนซิงตัน (Kensington), แฮมป์ ตัน (Hampton), ออริจิ้น เพลย์ (Origin Play), บริกซ์ตัน (Brixton) และ บริทาเนีย (Britania) เป็นต้น รวมมูลค่าโครงการทั้งสิ้นกว่า 259,072 ล้านบาท โดยกลุ่มโครงการบ้านจัดสรร หรือที่อยู่อาศัยแนวราบ ดําเนินการภายใต้บริษัท บริทาเนีย จํากัด (มหาชน) หรือ BRI เน้นกลุ่มบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ส่วนกลุ่มโครงการแนวสูง หรือคอนโดมิเนียม ดําเนินการภายใต้บริษัท ออริจิ้น เวอร์ติเคิล คอร์ปอเรชั่น จํากัด หรือ ORIGIN VERTICAL
2. กลุ่มธุรกิจที่สร้างรายได้ประจํา (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ตเมนท์ ค้าปลีก
3. กลุ่มธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจให้บริการลูกบ้าน ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์
4. กลุ่มธุรกิจเมกะเทรนด์ระยะยาว (Mega Trends) เป็นกลุ่มธุรกิจใหม่ที่มีแนวโน้มเติบโตในระยะยาว เช่น ธุรกิจโลจิสติกส์ ธุรกิจเฮลท์แคร์ ธุรกิจพลังงาน ธุรกิจด้านการเงิน ธุรกิจเอนเตอร์เทนเมนท์ ฯลฯ เพื่อยกระดับคุณภาพการใช้ชีวิตของผู้บริโภคแบบครบวงจร