จุฬาฯ มุ่งสู่ มหา’ลัย AI เติมหลักสูตร Non-Degree จบได้ใน 6 เดือนรับตลาดแรงงานอนาคตโลก

จุฬาฯ มุ่งสู่ มหา’ลัย AI  เติมหลักสูตร Non-Degree จบได้ใน 6 เดือนรับตลาดแรงงานอนาคตโลก
จุฬาฯ เร่งพัฒนา ClulaGENIE สร้างแพลตฟอร์ม Adopt AI สัญชาติไทยนำร่องใช้ภายในก่อนต่อยอดเชิงสาธารณะหวัง 6-12 เดือนหน้า พร้อมสร้าง ‘คน’ สู่ตลาดแรงงานโลกต้องการ 10 ทักษะใหม่นี้  

ศาสตราจารย์ ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า จุฬาฯ มุ่งสุ่การเป็น ‘The University of AI’ มหาวิทยาลัยแห่งปัญญาประดิษฐ์ โดยจะพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนแบบ Non-Degree หรือ หลักสูตรประกาศนียบัตร เน้นพัฒนาทักษะเฉพาะทาง หรือความรู้ในสาขาวิชาใดวิชาหนึ่ง โดยไม่จำเป็นต้องเรียนจบในระดับปริญญา ให้ผู้เรียนเลือกเฉพาะวิชาที่สนใจ หรือกลุ่มวิชาที่ต้องการพัฒนาความรู้ เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในงาน หรือการพัฒนาตนเองได้ทันที ใช้ระยะเวลาเรียนประมาณ 6-7 เดือนให้กับผู้สนใจสาขาเฉพาะในรายคณะการศึกษา ภายใต้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ทั้งนี้ เพื่อมุ่งสู่มหาวิทยาลัยแห่งการเรียนรู้สำหรับทุกคน ต่อยอดจากเดิมในหลักสูตรระดับปริญญาตรี หรือ ปริญญาโท ใช้ระยะเวลาเรียน 4 ปีและ 2ปี แต่จากเข้ามาของเอไอ จำเป็นต้องปรับทักษะใหม่ควบคู่กันไปแบบเฉพาะทางให้ผู้เรียนในรายคณะการศึกษาต่างๆ มีความรู้แบบองค์รวม (Holistic) มากขึ้น ต่างจากในอดีตที่ต้องการผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน (Specialist) เพื่อรองรับความต้องการของตลาดแรงงานใหม่ในอนาคต 

พร้อมกันนี้ จุฬาฯ ยังเป็นตัวแทนหนึ่งเดียวในประเทศไทยร่วมกับ World Economic Forum (WEF) ในการเสนอแนวทางเพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงานในระหว่างปี พ.ศ. 2568–2573 ประกาศ The Future of Jobs 2025 ชี้ทักษะแห่งอนาคต  พร้อมแนะกลยุทธ์สร้างมนุษย์แห่งอนาคต (Future Human) สำหรับประเทศไทย

รายงานนี้ อ้างอิงจากการสำรวจกว่า 1,000 บริษัท ครอบคลุมพนักงาน 14 ล้านคน ใน 22 อุตสาหกรรม จาก 55 ประเทศทั่วโลก โดยมีผลการวิเคราะห์ที่สำคัญดังนี้

  • ตำแหน่งงานใหม่ 170 ล้านตำแหน่ง จะเกิดขึ้น เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงด้านสิ่งแวดล้อม
  • 92 ล้านตำแหน่งงาน จะหายไป เนื่องจากระบบอัตโนมัติและการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ
  • การเติบโตสุทธิของการจ้างงานคิดเป็น 7% หรือเท่ากับ 78 ล้านตำแหน่งงานทั่วโลก

ขณะที่ 5 ตำแหน่งงานที่เป็นที่ต้องการในไทย ดังนี้

  1. ผู้เชี่ยวชาญด้าน Big Data 
  2. วิศวกรด้าน Fintech
  3. ผู้เชี่ยวชาญด้าน AI
  4. นักพัฒนาซอฟต์แวร์และแอปพลิเคชั่น
  5. ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการและความปลอดภัย

ส่วน 5 ตำแหน่งงานที่จะหายไป ดังนี้ 

  1. เจ้าหน้าที่ไปรษณีย์
  2. พนักงานธนาคารและตำแหน่งที่เกี่ยวข้อง
  3. เจ้าหน้าที่ป้อนข้อมูล
  4. พนักงานแคชเชียร์และพนักงานจำหน่ายตั๋ว
  5. ผู้ช่วยด้านงานธุรการและเลขานุการบริหาร

สำหรับ ปัจจัยสำคัญที่เปลี่ยนแปลงตลาดแรงงานในปี 2573 โดยเรียงลำดับความสำคัญ ดังนี้

1. การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี AI หุ่นยนต์ และนวัตกรรมด้านพลังงานเป็นปัจจัยหลักที่เปลี่ยนแปลงบทบาทงานและทักษะ

2. การเปลี่ยนแปลงด้านสิ่งแวดล้อม การลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกระตุ้นความต้องการวิศวกรสิ่งแวดล้อมและพลังงานหมุนเวียน

3. ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นและการชะลอตัวทางเศรษฐกิจเป็นความท้าทายสำคัญ

4. การเปลี่ยนแปลงด้านประชากร ประชากรสูงอายุในประเทศรายได้สูงและแรงงานขยายตัวในประเทศรายได้ต่ำปรับเปลี่ยนตลาดแรงงาน

5. การแบ่งแยกทางภูมิศาสตร์เศรษฐกิจ ข้อจำกัดทางการค้าและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ส่งผลต่อรูปแบบธุรกิจ

ขณะที่ 10 ทักษะในอนาคตของประเทศไทยและประเทศต่างๆทั่วโลกภายในปี พ.ศ. 2573 ประกอบด้วย

  1. ทักษะด้าน AI และ Big Data
  2. Analytical thinking ทักษะการคิดเชิงวิเคราะห์
  3. Creative thinking ทักษะการคิดอย่างสร้างสรรค์
  4. Networks and cybersecurity ทักษะด้านเครือข่าย และความปลอดภัยทางข้อมูล
  5. Leadership and social influence มีความเป็นผู้นำ และสร้างอิทธิพลต่อสังคมได้
  6. Resilience, flexibility and agility ปรับตัวไว ทำงานอย่างยืดหยุ่น และคล่องตัว
  7. Empathy and active listening มีความเห็นอกเห็นใจ และมีทักษะในการรับฟัง
  8. Motivation and self-awareness มีความเข้าใจตนเอง และมีแรงจูงใจในการทำงาน
  9. Talent management ทักษะด้านการบริหารจัดการคนเก่งในองค์กร
  10. Curiosity and lifelong learning มีความช่างสงสัย ใฝ่เรียนรู้ตลอดชีวิต

พร้อมกันนี้ยังได้เสนอกลยุทธ์สำคัญ 4 ประการสำหรับประเทศไทย ดังนี้ 

  1. สร้างการเปลี่ยนแปลง แบบ Holistic Skill Change:ยกเครื่องการ upskill ของบุคลากรในมิติไม่ใช่ทักษะใดทักษะหนึ่งเท่านั้น 
  2. สร้างองค์กร ให้เป็น Future-Ready Organization: มีระบบการพัฒนาทักษะอนาคตของบุคลากร
  3. Human Replacement: งานที่ซ้ำชากควรเลิกใช้คนและทดแทนด้วยระบบ Automation 
  4. Enhancing Dynamic Work Role: มีการส่งเสริมให้ไม่ยึดติดกับบทบาทการทำงานในแบบเดิมๆ แต่มีการปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลา

ศาสตราจารย์ ดร.วิเลิศ  เสริมว่าพร้อมกันนี้ จุฬาฯ ยังร่วมกับกูเกิล คลาวด์ (Google Cloud) พัฒนา  ChulaGENIE แพลตฟอร์มเจนเนอเรทีฟ เอไอ (Generative AI) สำหรับสนับสนุนการทำงานของบุคลากรภายในจุฬาลงกรณ์​มหาวิทยาลัย พร้อมเปิดทดลองใช้ในเบื้องต้นไปเมื่อวันที่ 6 ม.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งในอนาคตยังมีความเป็นไปได้ในการต่อยอดแพลตฟอร์มฯ นี้เพื่อเปิดให้บริการเชิงสาธารณะด้วยภายในระยะเวลา 6-12 เดือนข้างหน้า นับจากนี้ 

“นอกจากทักษะด้านการใช้งานหรืออด็อปต์เอไอในฐานะยูสเซอร์แล้ว ประเทศไทยควรต่อยอดไปสู่การเป็นเจ้าของหรือผู้พัฒนาเทคโนโลยีที่เป็นของตัวเอง เพื่อสร้างความยั่งยืนในรอบด้านตามเทรนด์โลกที่จะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย” ศาสตราจารย์ ดร.วิเลิศ ทิ้งท้าย 

 

TAGS: #จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย #แรงงานอนาคต #ตลาดแรงงาน #เอไอ #AI