กรุงศรี กำไรสุทธิปี 2567 จำนวน 2.97 หมื่นล้านบาท 

กรุงศรี กำไรสุทธิปี 2567 จำนวน 2.97 หมื่นล้านบาท 
กรุงศรี กำไรสุทธิปี 2567 จำนวน 2.97 หมื่นล้านบาท หนุนลูกค้าฟื้นตัวอย่างยั่งยืน พร้อมกลยุทธ์บริหารความเสี่ยงที่รอบคอบระมัดระวัง

กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือ) รายงานผลประกอบการสำหรับปี 2567 มีกำไรสุทธิจำนวน 29.70 พันล้านบาท ลดลง 9.8% จากปีก่อนหน้า โดยมีปัจจัยหลักมาจากการตั้งสำรองตามนโยบายบริหารจัดการความเสี่ยงที่เข้มงวดระมัดระวัง ภายใต้บริบทสภาวะแวดล้อมทางธุรกิจที่มีความท้าทาย

กรุงศรียังคงมุ่งมั่นขับเคลื่อนพันธกิจสำคัญด้านความยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่มีแรงส่งที่จำกัดและไม่ทั่วถึง กอปรกับปัญหาด้านเสถียรภาพโครงสร้างเศรษฐกิจและหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ทำให้ศักยภาพการเติบโตของสินเชื่อและรายได้ในภาพรวมถูกลดทอนลง  โดยภารกิจหลักของธนาคารยังคงเป็นการให้ความช่วยเหลือแก่กลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการ SME และกลุ่มลูกค้ารายย่อย ผ่านทั้งมาตรการช่วยเหลือฉุกเฉินระยะสั้น และการส่งมอบนวัตกรรมสินเชื่อเพื่อการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน (Krungsri SME Transition Loan) เพื่อให้ลูกค้าสามารถฟื้นตัวในด้านธุรกิจและสถานะทางการเงิน ตลอดจนการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมภายใต้บริบทที่ยั่งยืน

สรุปผลประกอบการและฐานะการเงินที่สำคัญสำหรับปี 2567

• กำไรสุทธิในปี 2567 จำนวน 29,700 ล้านบาท ลดลง 9.8% หรือ 3,229 ล้านบาท จากปี 2566 โดยมีปัจจัยหลักมาจากการตั้งสำรองตามนโยบายบริหารจัดการความเสี่ยงที่เข้มงวดระมัดระวังของกรุงศรี

• เงินให้สินเชื่อรวม ลดลง 6.0% หรือจำนวน 121,335 ล้านบาท จากสิ้นเดือนธันวาคม 2566 สะท้อนการปรับลดลงของความเชื่อมั่นทางธุรกิจและความเชื่อมั่นผู้บริโภค กอปรกับการดำเนินการตามแนวทางการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรมของกรุงศรี

• เงินรับฝาก ลดลง 0.9% หรือจำนวน 17,372 ล้านบาท จากสิ้นเดือนธันวาคม 2566 ตามนโยบายการบริหารสภาพคล่องอย่างเหมาะสมรัดกุม

• แม้ว่าอุปสงค์ต่อเงินให้สินเชื่อจะอ่อนตัวลง อย่างไรก็ดี ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ยังคงเพิ่มขึ้นมาที่ 4.28% จาก 3.91% ในปี 2566 โดยมีปัจจัยหลักมาจากอัตราผลตอบแทนของสินทรัพย์ที่ปรับตัวดีขึ้น สะท้อนรายได้ดอกเบี้ยจากธุรกิจสินเชื่อเพื่อผู้บริโภคในต่างประเทศที่ควบรวมในปี 2566 ที่เป็นการรับรู้รายได้ทั้งปี

• รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย เพิ่มขึ้น 14.7% หรือ 5,827 ล้านบาท จากปี 2566 โดยมีปัจจัยหลักมาจากรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิทั้งส่วนที่มาจากบริษัทลูกในต่างประเทศและธุรกิจในประเทศ กำไรสุทธิจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรหรือขาดทุน และหนี้สูญ

รับคืน

• อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ ปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยที่ 44.4% เทียบกับ 44.5% ในปี 2566

• อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL Ratio) อยู่ที่ 3.23% เทียบกับ 2.53% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2566 ขณะที่สัดส่วนการตั้งสำรองต่อสินเชื่อรวมอยู่ที่ 245 เบสิสพอยท์ และอัตราส่วนเงินสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพอยู่ที่ 123.2%

• อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (ของธนาคาร) อยู่ที่ 19.38% เทียบกับ 18.24% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2566

นายเคนอิจิ ยามาโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ท่ามกลางอุปสงค์ต่อสินเชื่อที่ยังคงเปราะบาง กรุงศรีในฐานะผู้ให้บริการทางการเงินที่มีความรับผิดชอบ ยังคงให้การสนับสนุนด้านบริการที่ปรึกษา รวมถึงการเปิดตัวนวัตกรรมทางการเงินด้านความยั่งยืน อาทิ เงินฝากเพื่อความยั่งยืนและสินเชื่อเพื่อสังคม ตลอดจนสนับสนุนการจัดจำหน่ายพันธบัตรเพื่อความยั่งยืน เพื่อยกระดับความแข็งแกร่งและความน่าเชื่อถือของยุทธศาสตร์การลดก๊าซเรือนกระจกของลูกค้า โดยเฉพาะภายใต้บริบทธุรกิจบริการที่ปรึกษา ธนาคารเป็นผู้นำในตลาดพันธบัตรด้านความยั่งยืนในปี 2567 ด้วยส่วนแบ่งการตลาดสูงถึง 18.9%”  

นายเคนอิจิให้ความเห็นเรื่องแนวโน้มเศรษฐกิจว่า “ในปี 2568 เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวที่ 2.9% เมื่อเทียบกับ 2.7% ในปี 2567 โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนหลักมาจากการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว การใช้จ่ายภาครัฐที่กลับมาขยายตัวตามปกติโดยเฉพาะอย่างยิ่งในครึ่งแรกของปี 2568 ขณะที่การลงทุนจะเติบโตได้ในระดับที่จำกัด อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเสี่ยงที่อาจส่งผลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจได้แก่ผลกระทบจากมาตรการกีดกันการค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากนโยบายด้านการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกาที่กำลังปรับทิศทาง รวมถึงความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ กอปรกับยังคงมีความท้าทายของปัญหาเศรษฐกิจเชิงโครงสร้างและปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง”

ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 กรุงศรี ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจการเงินที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับห้าในระบบเศรษฐกิจไทยจากมูลค่าสินทรัพย์ สินเชื่อและเงินรับฝาก และเป็นหนึ่งในสถาบันการเงินที่มีความสำคัญเชิงระบบ (D-SIB) มีสินเชื่อรวม 1.90 ล้านล้านบาท เงินรับฝาก 1.82 ล้านล้านบาท และสินทรัพย์รวม 2.62 ล้านล้านบาท ขณะที่เงินกองทุนของธนาคารอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 317.63 พันล้านบาท หรือเทียบเท่า 19.38% ของสินทรัพย์เสี่ยง โดยเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของคิดเป็น 15.11%

TAGS: #กรุงศรี