ทีดีอาร์ไอมองเศราฐกิจไทย สารพัดความเสี่ยง เศรษฐกิจโลกคาดเดาไม่ได้ การเมืองภายในอ่อนแอต่อรองผลประโยชน์ ทำเศรษฐกิจปี 68 โตต่ำศักยภาพไม่ถึง 3%

นายนณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศ (ทีดีอาร์ไอ) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจปี 2568 เป็นปีที่รัฐบาลพยายามให้เศรษฐกิจไทยให้กลับมาขยายตัวค่าเฉลี่ยกลางตามศักยภาพน่าจะเติบโตสูงสุดได้แค่ 3% เท่านั้นเอง ซึ่งตัวเลขนี้สำคัญ เพราะนับตั้งแต่เกิดการระบาดของโควิด เศรษฐกิจไทยยังไม่สามารถกลับไปยืนโตได้มากกว่าระดับ 3%

ทั้งนี้จากที่เศรษฐกิจไทยโตได้ต่ำกว่าศักยภาพมานาน ทำให้เศรษฐกิจปี 2568 มีแรงส่งจากฐานต่ำอยู่แล้ว ก็มีสิทธิที่ทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้มากขึ้น อย่างน้อยขยายตัวได้มากกว่าปี 2567 ที่คาดว่าจะขยายตัวได้ 2.5 - 2.6%

แต่ทว่าเศรษฐกิจไทยมีประเด็นความเสี่ยง จากเศรษฐกิจโลกยังไม่ดี ยังอ่านไม่ออกว่าทรัมป์จะทำอะไรบ้าง ปัญหาตรงนี้ทำให้เกิดความเสี่ยงเศรษฐกิจปี 2568 ไม่สามารถกลับมาโตใกล้ 3% ได้

“ผมมองว่าเศรษฐกิจปี 2568 จะโตได้อย่างดีที่ 2.5 - 2.8% ประมาณนี้ ที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุด ซึ่งเป็นเรื่องถูกต้องที่ทุกสำนักเศรษฐกิจทั้งของเอกชนและรัฐบาล ประเมินเศรษฐกิจไม่มีใครให้เกิน 3%” นายนณริฏ กล่าว

นายนณริฏ กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยมี 3 ปัญหาความเสี่ยงที่สำคัญ ได้แก่ 1. ความเสี่ยงเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกที่ตอนนี้เป็นปัญหามากสุด คือ การกลับมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐของทรัมป์ ที่บอกจะขึ้นภาษีสินค้ากับหลายประเทศ ส่งผลต่อการค้าโลก และไทย ที่เกินดุลการค้าสหรัฐอยู่มาก

นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงที่ 2 เมื่อเศรษฐกิจโลกโตได้ต่ำลง เค้กส่วนแบ่งตลอดส่งออกมันก็ลดลง นั้นหมายความทุกประเทศต้องทำงานหนัก ทำอย่างไรก็ได้เพื่อให้การส่งออกได้มากที่สุด ซึ่งตรงนี้ในส่วนของไทยก็วิ่งไปเจอปัญหาเดิม คือ ศักยภาพการแข่งขันระยะยาว หากไปดูแกนหลักของการส่งออกไทย ผูกอยู่กับ 3 อุตสาหกรรมเท่านั้น ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และอุตสาหกรรมปิโตเคมี ซึ่งทั้ง 3 ตัวกำลังอ่อนแรง ประเทศไทยเจอปัญหานี้ทั้ง 3 ตัว เป็นตัวฉุดหลังเศรษฐกิจที่สำคัญ

ขณะเดียวกันยังมีปัญหาความเสี่ยงที่ 3 คือ เรื่องหนี้ครัวเรือน ที่รัฐบาลพยายามเร่งแก้ปัญหา แต่ทำได้ไม่ง่าย ทำให้ภาคการบริโภคไม่ดี เพราะประชาชนมีหนี้ไม่มีเงินจับจ่ายใช้สอยได้ดี

“ทั้ง 3 ความเสี่ยง ทำให้เศรษฐกิจยังไม่สามารถกลับมาโตได้ดีสูงกว่า 3% ได้” นายนณริฏ กล่าว