นายหญิง AWC ถือฤกษ์เวลา 15.47 น. วันที่ 23 ม.ค.ลงเสาเข็ม ‘เวิ้งนครเกษมเยาวราช’ 1.6 หมื่นล.บาท ครั้งแรกศูนย์การค้าใต้ดินลึก 5 ชั้น และ 'TRAM’ สร้างแลนด์มาร์คใหม่ ‘ไชน่า ทาวน์’ ใหญ่สุดในโลก เปิดปี 2572

ย้อนกลับในปี 2555 ‘เจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี’ เข้าซื้อที่ดินในย่านการค้าเก่าแก่ ‘เวิ้งนาครเขษม’ มีขนาดพื้นที่ 14 ไร่ ตั้งอยู่บริเวณถนนเจริญกรุงซอย 8-10 จากราชสกุลบริพัตร ด้วยมูลค่า 4,507 ล้านบาท ถึงในปัจจุบันที่ดินผืนนี้เตรียมพัฒนาเป็นโครงการมิกซ์ยูส ‘เวิ้งนครเกษม เยาวราช’ หนึ่งในจิ๊กซอว์สำคัญที่จะเชื่อม 4 ย่านการค้าเก่าที่รุ่งเรืองในอดีตของกรุงเทพฯ ทั้ง เจริญกรุง เวิ้งนครเกษม ล้ง 1919 และ ทรงวาด ให้เป็นภาพใหญ่ชิ้นเดียวกันในอนาคต ภายใต้แผนดำเนินธุรกิจของ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จํากัด (มหาชน) หรือ AWC  

วัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จํากัด (มหาชน) (AWC) ผู้บริหารโครงการอสังหาริมทรัพย์ค้าปลีก อาคารสำนักงาน และโรงแรม ระดับสากล (กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เครือ TCC Group ตระกูลสิริวัฒนภักดี) เปิดเผยว่า บริษัทฯ เตรียมใช้งบลงทุนราว 1.6 หมื่นล้านบาทพัฒนาโครงการมิกซ์ยูส ‘เวิ้งนครเกษม เยาวราช’ บนทำเลไฮไลท์ตั้งอยู่ใจกลางเมืองกรุงเทพฯ ล้อมรอบถนน 3 สายหลักสำคัญ คือ เจริญกรุง, จักรวรรดิ และ เยาวราช  โดยโครงการฯ จะประกอบด้วยสามส่วนหลัก ดังนี้

กลุ่มโรงแรมระดับลักซูรี่ (World-Class Hospitality) แห่งแรกของไชน่าทาวน์  จำนวน 2 โรงแรม รวมห้องพักกว่า 500 ห้อง ประกอบไปด้วย

• โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล (InterContinental) จำนวนกว่า 300 ห้องพัก โดดเด่นด้วยอาคารหลักสูง 10 ชั้น และอาคารพาณิชย์เก่าแก่ที่ได้รับการอนุรักษ์โครงสร้างเดิมและปรับปรุงเป็นห้องสวีทหรู พร้อมด้วยการบริการอันเป็นเอกลักษณ์จากแบรนด์โรงแรมระดับโลกแห่งแรกในย่านไชน่าทาวน์ พร้อมห้องบอลรูมขนาดใหญ่ที่สุดในเยาวราชกว่า 1,100 ตารางเมตรที่สามารถรองรับได้ถึง 750 คน
• โรงแรมคิมป์ตัน โรงแรมระดับลักซูรี่ ในเครือ IHG (Luxury Hotel) จำนวนกว่า 200 ห้องพัก บนพื้นที่อาคารหลักสูง 10 ชั้น และอาคารพาณิชย์อนุรักษ์บริเวณริมคลองโอ่งอ่าง ที่ผสมผสานระหว่างประเพณีและความทันสมัยอย่างไร้ที่ติ พร้อมด้วยการบริการ รวมถึงห้องอาหารและบาร์อันโดดเด่น

กลุ่มพื้นที่ค้าปลีก (Retail) ระดับพรีเมี่ยม รวมกว่า 1.35 แสนตร.ม. ทั้งในรูปแบบร้านค้าประเภทต่างๆ ให้บริการในพื้นที่โครงการฯ และ ศูนย์การค้าใต้ดินมีความลึกขนาดตึก 5 พร้อมลานจอดรถชั้นใต้ดินที่สามารถรองรับได้ถึง 750 คัน

บริเวณ ศาลาจีน (Chinese Pavilion) ความสูง 8 ชั้น พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์และแลนด์มาร์กแห่งใหม่ของไชน่าทาวน์ ที่ได้รับการออกแบบอย่างโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ เปิดให้ผู้คนได้เข้ามาสักการะเพื่อเสริมโชคลาภและความเป็นสิริมงคล และ พิพิธภัณฑ์เวิ้งนครเกษมที่จัดแสดงภาพประวัติศาสตร์ ตลอดจนสิ่งของในวิถีชีวิตดั้งเดิมของชุมชน เสริมสร้างการเรียนรู้เชิงวัฒนธรรม และเพิ่มพื้นที่สำหรับพักผ่อนหย่อนใจในใจกลางเมือง

“โครงการฯ ตั้งอยู่บนผืนดินราคาแพงที่สุดในไชน่าทาวน์ ซึ่งพร้อมเชื่อมไปยังพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ เพื่อสร้างเป็น AWC’s Lifestyle Destination จุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวเชิงศิลปวัฒนธรรมและแลนด์มาร์กแห่งใหม่ของกรุงเทพฯในระดับโลก” วัลลภา กล่าวพร้อมเสริมว่า “AWC ยังมีแผนลงทุนเพิ่มในการสร้าง Tram รถรางไฟฟ้าในเบื้องต้นจะมีระยะทางราว 1 กิโลเมตร เพื่อให้บริการนักท่องเที่ยวในโครงการฯ ด้วย ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการออกแบบในรายละเอียด โดยโครงการฯ คาดเปิดให้บริการเต็มรูปแบบภายในปี 2572”

พร้อมกันนี้ AWC ยังร่วมกับพันธมิตร ‘ไทย โอบายาชิ’ บริษัทก่อสร้างมาตรฐานระดับโลก โดยใช้ฤกษ์เวลา 15.47 น.ของวันที่ 23 ม.ค. 2568 ลงเสาเข็มแรกโครงการฯ เวิ้งนาครเขษม และเริ่มก่อสร้างในทันที ซึ่งวางแผนเปิดให้บริการตามระยะ (Phase) โดยในเฟสแรกจะเปิดให้บริการพื้นที่ค้าปลีกบริเวณด้านหน้าริมถนนโดยรอบโครงการฯ ราวไตรมาสสี่ ปี 2569 และทยอยเปิดเฟส 2 และเฟส 3 สุดท้ายจะเสร็จสมบูรณ์ทั้งโครงการฯในอีก 5 ปีข้างหน้า (พ.ศ.2568-2572)      

ทั้งนี้ ภายหลังโครงการ ‘เวิ้งนครเกษมเยาวราช’ ดำเนินการแล้วเสร็จยังจะสร้างสีสันและความมีชีวิตชีวาให้กับ เยาวราช ผ่านการออกแบบที่ผสมผสานความทันสมัยเข้ากับเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมไทย-จีน ไว้อย่างลงตัว และพร้อมสนับสนุนกรุงเทพมหานครสู่การเป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวยั่งยืนชั้นนำระดับโลก ในฐานะโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ระดับแฟลกชิปแห่งแรกของ AWC ที่มีมูลค่าสูงสุดในขณะนี้

นอกจากนี้ โครงการ “เวิ้งนครเกษม เยาวราช” ยังได้รับการพัฒนาขึ้นโดยให้ความสำคัญกับแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนตามมาตรฐานอาคารสีเขียว (Green Building Standard) เพื่อผลักดันอาคารที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิตชุมชนโดยรอบ มุ่งสู่การรับรองมาตรฐานระดับสากล สนับสนุนการเติบโตและเศรษฐกิจของชุมชนโดยรอบ พร้อมร่วมส่งเสริมการเรียนรู้และความเข้าใจในมรดกทางวัฒนธรรมอย่างลึกซึ้ง เพื่อสร้างความเจริญรุ่งเรืองและการเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืน