ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 33.89 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงหนัก”
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 33.89 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงหนัก” จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ที่ระดับ 33.64 บาทต่อดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) พลิกกลับมาอ่อนค่าลงต่อเนื่อง (แกว่งตัวในกรอบ 33.60-33.90 บาทต่อดอลลาร์) กดดันโดยการทยอยรีบาวด์แข็งค่าขึ้นบ้างของเงินดอลลาร์ ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากความต้องการถือสินทรัพย์ปลอดภัย หลังตลาดหุ้นสหรัฐฯ เผชิญแรงกดดันจากการปรับตัวลงของหุ้นธีม AI/Semiconductor ท่ามกลางความกังวล AI จากจีน DeepSeek-R1 ที่มีประสิทธิภาพสูงและต้นทุนการใช้งานต่ำ เมื่อเทียบกับ AI จากฝั่งสหรัฐฯ นอกจากนี้ ในช่วงเช้า เงินดอลลาร์ยังได้แรงหนุนจากความกังวลแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นภาษีนำเข้าโดยรัฐบาล Trump 2.0 กดดันให้บรรดาสกุลเงินหลัก โดยเฉพาะ เงินยูโร (EUR) และเงินปอนด์อังกฤษ (GBP) พลิกกลับมาอ่อนค่าลง และนอกเหนือจากการรีบาวด์ขึ้นของเงินดอลลาร์ เงินบาทยังถูกกดดันเพิ่มเติมจากการปรับตัวลดลงต่อเนื่องของราคาทองคำ (XAUUSD) ในช่วงคืนที่ผ่านมา
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท แม้ว่าเงินบาทจะพลิกกลับมาอ่อนค่าลงหนักในช่วงคืนที่ผ่านมา แต่ เรายังคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทมีโอกาสทยอยแข็งค่าขึ้น หรืออย่างน้อยก็อาจแกว่งตัวในกรอบ Sideways เมื่อประเมินตามกลยุทธ์ Trend Following ตราบใดที่เงินบาทไม่ได้กลับมาอ่อนค่าลงชัดเจน เหนือโซนแนวต้าน 34.20 บาทต่อดอลลาร์
ส่วนในช่วงระหว่างวันนี้ เรามองว่า เงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าลงบ้าง ทดสอบโซนแนวต้าน 34.00 บาทต่อดอลลาร์ หลังในช่วงเช้าที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ขู่จะขึ้นภาษีนำเข้าต่อสินค้า อาทิ ชิปคอมพิวเตอร์, Semiconductor และแร่โลหะ เป็นต้น ส่งผลให้บรรดาสกุลเงินหลัก อย่าง เงินยูโร (EUR) และเงินปอนด์อังกฤษ (GBP) พลิกกลับมาอ่อนค่าลง ส่วนในฝั่งเอเชีย เงินหยวนจีน Offshore (CNH) ก็พลิกกลับมาอ่อนค่าลงพอสมควรเช่นกัน ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา เงินบาทเคลื่อนไหวสอดคล้องกับเงินหยวนจีน Offshore (30-Day Correlation) กว่า 76% ทำให้ต้องจับตาทิศทางการเคลื่อนไหวของเงินหยวนจีนในช่วงนี้ด้วยเช่นกัน
และนอกเหนือจากทิศทางการเคลื่อนไหวของบรรดาสกุลเงินหลัก และเงินหยวนจีน เรามองว่า แนวโน้มการเคลื่อนไหวของเงินบาทก็จะขึ้นกับทิศทางราคาทองคำ รวมถึงฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติในตลาดทุนไทยด้วยเช่นกัน ซึ่งในกรณีที่เงินบาทสามารถกลับมาแข็งค่าขึ้นได้บ้างนั้น เรามองว่า เงินบาทก็อาจติดอยู่แถวโซนแนวรับ 33.60-33.70 บาทต่อดอลลาร์ ไปก่อนได้ จนกว่าตลาดจะรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม ซึ่งคาดว่า ผู้เล่นในตลาดต่างรอลุ้นผลการประชุมเฟดและธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในวันพฤหัสฯ ที่จะถึงนี้
ท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงินที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในช่วงปีหน้าที่จะเผชิญกับ Trump’s Uncertainty ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้
มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.70-34.00 บาท/ดอลลาร์