วัดกำลัง DeepSeek เอไอต้นทุนต่ำสัญชาติจีน สมรภูมิ ‘แบรนด์ดิง’ เทคโนโลยีระลอกใหม่  

วัดกำลัง DeepSeek เอไอต้นทุนต่ำสัญชาติจีน สมรภูมิ ‘แบรนด์ดิง’ เทคโนโลยีระลอกใหม่  
ในช่วงข้ามคืนที่ผ่านมา อุตสาหกรรมเทคโนโลยีโลก ต่างสปอตไลท์ไปที่ DeepSeek สตาร์ทอัปสัญชาติจีนที่เปิดตัว ‘เอไอ’ จนสะเทือนตลาดหุ้นบิ๊กเทคฯ ไปพร้อมกับชิงพื้นที่สื่อจนสร้างแบรนด์ให้เป็นที่จดจำในเวลารวดเร็ว

หลังการเปิดตัวแอปพลิเคชันโมเดล AI จากบริษัทสตาร์ทอัพจีนอย่าง DeepSeek ล่าสุด ได้กลายเป็นแอปฯที่มียอดดาวน์โหลดอันดับหนึ่งใน App Store จากฝั่งสหรัฐไปแล้ว

โดย DeepSeek ยังออกมาอ้างถึงความสำเร็จในการพัฒนาโมเดล AI รุ่นใหม่ภายใต้ชื่อ DeepSeek-R1 ซึ่งทางผู้พัฒนาจากจีนอ้างว่าเป็น AI ที่มีต้นทุนต่ำและประมวลผลเร็วกว่า

ขณะที่ นักวิเคราะห์บางส่วนตั้งข้อสังเกตว่า AI ต้นทุนต่ำที่บริษัทจีนกล่าวถึงนั้น มีที่มาจากอะไร เนื่องจากการสร้างโมเดล AI ต้องใช้ชิปประมวลผลระดับสูงจำนวนมาก ซึ่งชิปที่กำลังเป็นที่ต้องการของตลาด AI คือชิปจากบริษัท NVIDIA แต่รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ออกคำสั่งห้ามจีนเข้าถึงเทคโนโลยีชิปปัญญาประดิษฐ์ ส่งผลให้เกิดคำถามว่า จีนใช้เทคโนโลยีชิปประมวลผลแบบใดในการสร้างโมเดล AI ของ DeepSeek

อย่างไรก็ตาม มีข้อมูลบางส่วนที่หลุดออกมาระบุว่า DeepSeek ได้ใช้ชิป NVIDIA H800 ในการฝึกฝนโมเดล AI ของตน โดยมีค่าใช้จ่ายเพียงไม่ถึง 6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งแม้จะมีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับคำประกาศนี้ แต่การที่บริษัทสามารถพัฒนาโมเดล AI ประสิทธิภาพสูงด้วยชิปที่มีสมรรถนะต่ำกว่าที่สหรัฐฯ ห้ามส่งออกไปจีน และด้วยต้นทุนที่ต่ำ ได้ทำให้ผู้บริหารเทคโนโลยีในสหรัฐฯ เริ่มตั้งคำถามถึงประสิทธิภาพของมาตรการควบคุมการส่งออกชิปขั้นสูงที่สหรัฐฯ ใช้กับจีน

อ้างอิงข้อมูล https://finance.yahoo.com/news/why-market-panic-over-chinas-deepseek-is-overblown-analysts-say-211148821.html?guccounter=1

นอกจากนี้ จากการเข้ามาของ DeepSeek ในช่วงที่ผ่านมา ยังส่งแรงกระเพื่อมถึง ChatGPT ของบริษัท Open AI ที่เคยสร้างปรากฏการณ์เดียวกันนี้ให้กับอุตสาหกรรมเทคโนโลยีระดับโลกไปเมื่อ พ.ย. 2565 ที่ผ่านมา ที่กำลังถูกเอไอสัญชาติจีน เข้ามาท้าชิงตลาดเอไอ    

ขณะที่ นักวิชาการไทย ‘ดร.สันติธาร เสถียรไทย’ Future Economy Advisor สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) และคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) โพสต์ข้อมูลบนเฟซบุ๊คส่วนตัว ระบุ 5 คำถามสำคัญที่ตามมา จากการผงาดขึ้นมาของ DeepSeek เอไอของจีนที่เป็นกำลังเป็นประเด็นร้อนแรงในตอนนี้ โดย THE BETTER ขอสรุปข้อมูลเบื้องต้น ถึง 5 ประเด็นสำคัญที่สามารถเปลี่ยนโลกได้ ดังนี้

1.จีน vs อเมริกา การมาของ DeepSeek ตั้งคำถามว่าเทคโนโลยีเอไอของอเมริกายังนำโลกอยู่จริงไหม หรือจีนสามารถวิ่งไล่กวดได้แล้วแม้จะไม่ได้เข้าถึงชิปคุณภาพสูงสุดที่โดนกีดกันจากสหรัฐฯและพันธมิตร และหากไล่กวดได้จริงตามตัวเลขการทดสอบความสามารถเอไอต่างๆที่ออกมา ต่อไปสหรัฐฯจะตอบโต้อย่างไร

2.ความสิ้นเปลืองทรัพยากร การที่ Deepseek ใช้เงินในการพัฒนาเอไอน้อยกว่าบริษัทเทคโนโลยีดังๆของอเมริกาประมาณ 20-30x และ ใช้ชิปที่ไม่ได้ ’ทรงพลัง‘ เท่า (มีคนบอกว่าชิปที่พวกเขาใช้ แค่นักเรียนปริญญาเอกในมหาวิทยาลัยในอเมริกายังมีใช้เลย)  ทำให้เกิดคำถามสำคัญในหมู่นักลงทุนและบริษัทเทคฯว่า “เอ้ะ ที่เราลงทุนไปหลายพันล้านเพื่อให้ได้ชิปที่ทรงพลังที่สุดนี่จริงๆแล้วมันจำเป็นหรือเปล่า”

3.โมเดลแบบเปิด vs ปิด คนส่วนใหญ่อาจมองสงครามเอไอเป็นระหว่างสหรัฐฯ vs จีน แต่สำหรับคนในวงการเทคโนโลยีอีกศึกที่คุกรุ่นมานานคือระหว่าง โมเดลแบบเปิด (Open source) ที่เสมือนเปิด ‘สูตรลับ‘ หรือ โค๊ดให้คนอื่นสามารถเอาไปศึกษา ใช้พัฒนาต่อยอดได้ กับ โมเดลแบบปิดที่ไม่ได้เปิดข้อมูลเหล่านี้ เช่น ChatGPT

4.ผู้นำ-ผู้ตาม Deepseek ใช้เวลาแค่ 2 เดือนกว่าๆเท่านั้นในการพัฒนาเอไอที่มี ความสามารถใกล้เคียงกับโมเดลรุ่นใหม่ ของ OpenAI โดยใช้โมเดลของ OpenAI ช่วยเทรนสอนโมเดลของตนเองด้วย เสมือนOpenAI เป็นจอมยุทธ์ที่ฝึกแทบตายกว่าจะบรรลุเคล็ดวิชาใหม่ แต่พอนักเรียนมาเลียน/เรียนต่อแป๊บเดียวสามารถได้วิชาระดับเดียวกันมาได้ 

5.อนาคตของเอไอ ในมุมผู้พัฒนาและลงทุนกับเอไอ คำถามเหล่านี้อาจทำให้ขนหัวลุก แต่ในมุมของผู้ใช้ พัฒนาการนี้ก็อาจมองในมุมบวกได้เช่นกัน

จากปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้น ยังสร้างแรงสั่นสะเทือนโลกเอไอ ระลอกใหม่ ระหว่าง  ‘Deepseek’ และ ‘ChatGPT’  ซึ่งทั้ง 2 แบรนด์ต่างมีจุดแข็งที่แตกต่างกัน โดย THE BETTER ขอสรุปดังนี้ 

1. DeepSeek

  • อาจเป็นโครงการ AI หรือระบบค้นหาที่มีการพัฒนาขึ้นใหม่ โดยเน้นการทำงานที่เฉพาะทาง เช่น การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก, การค้นหาข้อมูลแบบคอนเท็กซ์ที่ซับซ้อน, หรือระบบที่สร้างขึ้นมาเพื่อรองรับอุตสาหกรรมเฉพาะทาง
  • จุดเด่นอาจอยู่ที่การทำงานเฉพาะเจาะจงและความแม่นยำสูง

 

 2. ChatGPT

  • เป็นโมเดลภาษาขนาดใหญ่ที่ถูกออกแบบมาให้รองรับการสนทนา การให้คำแนะนำ การตอบคำถาม และการแก้ปัญหาที่หลากหลาย
  • จุดแข็งของ ChatGPT คือความยืดหยุ่น (flexibility) และการประยุกต์ใช้ได้หลากหลาย เช่น การศึกษา การบริการลูกค้า การวิเคราะห์ข้อมูล และสร้างเนื้อหา

ทั้งนี้ ต่อการเข้ามาของ DeepSeek ในตลาดเอไอด้วยช่วงเวลาไม่ถึง 3 ปีหลังการเปิดตัว ChatGDP ไปก่อนหน้า ยิ่งเป็นที่น่าจับตากว่า ธุรกิจเทคโนโลยีขั้นสูงอย่างเอไอ จะยิ่งเร่งสปีดการแข่งขันในโลกธุรกิจให้เร็วขึ้นไปอีก ซึ่งน่าคิดกันต่อไปว่า DeepSeek อาจเป็นผู้เล่นเฉพาะกลุ่มที่แข็งแกร่งในตลาดเฉพาะทาง ส่วน ChatGPT จะยังคงเติบโตในตลาดที่กว้างและหลากหลาย

และกลายเป็นการแข่งขันระหว่างระบบที่เน้นความแม่นยำและเฉพาะทาง กับระบบที่ยืดหยุ่นและครอบคลุม ซึ่งจะขึ้นอยู่กับความสามารถในการปรับตัวและตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้งาน และอาจนำไปสู่ สงครามเอไอ ระหว่างแบรนดิง จากค่ายสัญชาติสหรัฐอเมริกา และ จีน ที่ผู้บริโภคจะเป็นผู้ตัดสินใจเลือกใช้ระบบใด ในที่สุด 

TAGS: #DeepSeek #เอไอ #ChatGPT