‘แสนสิริ’ ย้ำ ‘แนวที่ใช่ละถนัด’ ไปต่อพัฒนาโครงการพรีเมียม-มีเดียม ลดกลุ่มแอฟรอเดเบิล ตั้งรับผันผวนเศรษฐกิจไทย ลุยต่อปี 68 เปิด 29 โครงการ มูลค่า 52,000 ล้านบาท จำนวนน้อยลง 32% แต่มูลค่าเพิ่มขึ้น 12%
อุทัย อุทัยแสงสุข กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ กล่าวแนวทางการดำเนินธุรกิจในปี 2568 ภาพรวมเศรษฐกิจในปีนี้คาดว่ายังมีปัจจัยบวกจากภายนอกที่ผลักดันให้เศรษฐกิจไทยเติบโตราว 4% จากนโยบายทรัมป์ 2.0 ที่อาจส่งผลกระทบเชิงบวกกับประเทศไทย การขยายตัวภาคการส่งออก และการเติบโตของการท่องเที่ยวในประเทศ โดยเฉพาะในหัวเมืองจังหวัดท่องเที่ยวไทย
โดยในปีนี้ เป็นต้นไป แสนสิริ ยังมุ่งให้ความสำคัญในการขยายพันธมิตรธุรกิจ (Partner) ต่างประเทศ เพื่อพัฒนาโครงการอสังหาฯต่างๆ ในรูปแบบการ่วมทุน หรือ เจวี (Joint Venture) มากขึ้นเพื่อใช้เป็นแหล่งทุนในการพัฒนาโครงการต่างๆ ของแสนสิริ
“ก่อนหน้ามีพันธมิตรรายเดิม 4 รายที่เจวีกับแสนสิริ ล่าสุดในช่วงที่ผ่านมามีอีกหนึ่งรายที่เข้ามาคุยกับเราเพื่อร่วมทุนพัฒนาโครงการใหม่ในอนาคตร่วมกัน ส่วนมิตซุย ฟุโดซัง จากญี่ปุ่น ซึ่งเป็นพาร์ทเนอร์รายล่าสุดของบริษัท ร่วมเจวีใน 2 โครงการใหม่ คือ นาราสิริ และคอมมูนิตี้ แสนสิริ อีสต์เท็น บางนา กม.9 ” อุทัย กล่าวพร้อมเสริมว่า
โดยการร่วมทุนของแต่ละราย จะมีสัดส่วนแตกต่างกัน อาทิ
- โตคิวฯ ถือหุ้น 30-35% และแสนสิริ 65-70%
- เอ็กซ์สปริง แอสเสทฯ ถือหุ้น 30-40% และแสนสิริ 60-70%
- มิตซุย ฟูโดซัง ถือหุ้น 45% และแสนสิริ 55%
ด้าน ภูมิภักดิ์ จุลมณีโชติ ประธานผู้บริหารสายงานกลยุทธ์ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวเสริมว่า นับจากปี 2568 เป็นต้นไป แสนสิริ มุ่งขยายความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ต่างชาติมากขึ้นหากรายใดมีแนวทางพัฒนาโครงการในคอนเซปต์เดียวกัน ส่วนหนึ่งเพื่อช่วยลดความเสี่ยงการบริหารต้นทุน และภาระดอกเบี้ย เพื่อคงความแข็งแกร่งของสถานะการเงินซึ่งมีส่วนสำคัญมาก ซึ่งการมีพาร์ทเนอร์เข้ามาจะมีโอกาสทางธุรกิจได้มากขึ้น สอดคล้องกับทิศทางเศรษฐกิจในปัจจุบันที่จะต้องวางทิศทางการขยายตัวอย่างระมัดระวัง
“ปีนี้มีสัดส่วนเจวี ราว 7โครงการ และในอนาคตจะเปิดมากขึ้น” ภูมิศักดิ์ กล่าวพร้อมเสริมว่า “กระแสเงินสดเรายังมีเยอะ ซึ่งการเจวี หรือร่วมทุนกับพันธมิตร จะเข้ามาปรับลดเงินกู้ยืมจากแต่ละธนาคาร ซึ่งในช่วงที่ผ่านการลงทุนในแต่ละโปรเจกต์ก็จะมีสัดส่วนการลงทุนแตกต่างกัน ซึ่งการเจวีจะเข้ามาก็จะช่วยชดเชยในส่วนที่เราต้องควักมากขึ้น” ภูมิภักดิ์ กล่าวพร้อมเสริมว่า "ในปี2568 นี้ บริษัท เตรียมใช้เงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 2 พันล้านบาท สำหรับจัดซื้อที่ดิน (land Bank) เพื่อรอพัฒนาโครงการฯ”
ขณะที่บรรยากาศตลาดอสังหาริมทรัพย์ในภาพรวม แสนสิริ คาดยังมีหลายปัจจัยที่สนับสนุนแผนการเติบโตแบบไดนามิก (Dynamic Growth) ในปีนี้ อาทิ การโอนบ้านมือสอง การปล่อยเช่า จำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้มีความต้องการหาที่พักอาศัยเพิ่มขึ้น ซึ่งพบว่าคนยังหาข้อมูลเกี่ยวกับการซื้อบ้านอยู่ (บ้านยังเป็นปัจจัย 4) รวมถึงการขยายแนวรถไฟฟ้าสายต่างๆ และรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย
โดยในปี 2568 แสนสิริ เตรียมเปิด 29 โครงการใหม่ มูลค่า 52,000 ล้านบาท โดยมุ่งพัฒนาโครงการอสังหาฯทั้งแนวรายบและคอนโดมีเนียมกลุ่มพรีเมียมและมีเดียม ซึ่งเป็นแนวที่แสนสิริถนัดและตรงกับความต้องการลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย พร้อมให้ความสำคัญกับ 5 คีย์ไดร์เวอร์ในการขับเคลื่อนองค์กร ได้แก่
- ขยายการพัฒนาที่อยู่อาศัยในกลุ่มสินค้าระดับลักซ์ชัวรีและพรีเมี่ยมในทำเลใหม่ที่มีศักยภาพสูง อาทิ บางนา, บรมราชชนนี, สะพานมหาเจษฎาบดินทร์ ซึ่งมีความต้องการอย่างต่อเนื่องและไม่อ่อนไหวตามสภาพตลาด โดยเตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ ได้แก่ นาราสิริ บางนา กม.10, นาราสิริ วิคตัวร์ กรุงเทพกรีฑา, นาราสิริ บรมราชชนนี และเดมี พระราม 9 – เหม่งจ๋ายที่ต่อยอดความสำเร็จในทำเล หลัง Sold Out บูก้าน พระราม 9 - เหม่งจ๋าย ในวันแรกที่เปิดจองทันที
- เปิดตัวคอนโดมิเนียมใหม่ในกรุงเทพฯ เพิ่ม Backlog สนับสนุนการสร้างรายได้ระยะยาว ปัจจุบันแสนสิริมีคอนโดมิเนียมในเมืองที่ สร้างเสร็จพร้อมโอน ปัจจุบัน เหลือแค่ XT พญาไท และ เนีย บาย แสนสิริ เท่านั้น คาดว่าจะสามารถขายหมดได้ในปีนี้ และมีอีกไม่กี่โครงการที่จะเริ่มสร้างเสร็จพร้อมโอนในอนาคต เช่น โฟล บาย แสนสิริ ที่พร้อมโอนในปลายปีนี้
โดยแสนสิริ มีแผนเปิดตัวคอนโดมิเนียมใหม่ เพื่อเติมเต็มพอร์ตโฟลิโอของแสนสิริให้แข็งแกร่งขึ้นในปีนี้ อาทิ เดอะ เบส รัชดา 19, เดอะ เบส เออร์เบิร์น พระราม 9, เวีย สุขุมวิท 34 และครั้งแรกของคอนโดมิเนียมใหม่ในทำเล นางลิ้นจี่
- รุกทำเลเชิงกลยุทธ์ (Strategic Locations) ขยายการพัฒนาโครงการไปยังแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ เช่น ภูเก็ต พัทยา และขอนแก่น เพื่อคว้าโอกาสจากความต้องการของตลาดที่สูงขึ้น โดยในปีนี้จะไฮไลต์ Strategic Location อย่างภูเก็ต ที่วางกลยุทธ์ 5 ปี (2568-2572) เปิดตัวโครงการใหม่รวม 27 โครงการ มูลค่ารวม 25,000 ล้านบาท ตอบโจทย์ทุกกลุ่มลูกค้า ครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์ในทุกโปรดักส์ ทั้งคอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม ซึ่งในปีนี้จะเปิดตัวโครงการใหม่ อาทิ เดอะ เบส เชิงทะเล, เศรษฐสิริ เกาะแก้ว รีทรีต
- ขยายโอกาสในการลงทุนกับพันธมิตรทางธุรกิจรายใหม่ เพื่อพัฒนาโครงการร่วมกัน โดยปีนี้จะมีโครงการเจวี ใหม่ 7 โครงการ มูลค่า 19,500 ล้านบาท โดยปีนี้ได้ทำความร่วมมือใหม่กับบริษัท มิตซุย ฟุโดซัง เอเชีย ดีเวลลอปเมนท์ (ไทยแลนด์) จำกัด ในโครงการบุราสิริ จตุโชติ และนาราสิริ บางนา กม.10 หนึ่งในแบรนด์สำคัญใน Sansiri 10 East ลักซ์ชัวรีคอมมูนิตี้กว่า 165 ไร่ ซึ่งบริษัท มิตซุย ฟุโดซัง เอเซีย ดีเวลลอปเม้นท์ (ไทยแลนด์) จำกัด ถือเป็นพาร์ทเนอร์ใหม่รายล่าสุด เพิ่มจากรายเดิม คือ บีทีเอส กรุ๊ป, โตคิว คอร์ปอเรชั่น และ เอ็กซ์สปริง แคปิตอล
- มุ่งพันธกิจสีเขียว โดยปีนี้ยังคงพัฒนา Green Living Design ในโปรดักต์ใหม่ (เซ็กเมนต์ ลักซูรี่และพรีเมี่ยม) พร้อมตั้งเป้าลดพลังงานสูงสุด 50% จากปีก่อนหน้าทำได้ 40% และผลักดันการทำงานร่วมกันใน Ecosystem โดยตั้งเป้าการทำ R&D กับ 3 ราย ร่วมพัฒนากรีนโปรดักต์ และและเตรียมพบกับ Sustainable Home Prototype 1 ก้าวสำคัญวงการอสังหาฯ จากแสนสิริ ที่จะเปิดให้ชม เร็วๆ นี้
ปี 67 ผลงานเด่น-ยอดโอนทะลุเป้า
สำหรับการดำเนินธุรกิจในปี 2567 ที่ผ่านมา แสนสิริ ยังมีอัตราเติบโตทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง ด้วยผลผลดำเนินงานโดดเด่น ทั้ง การรักษาระดับผลประกอบการให้เติบโตอย่างสม่ำเสมอ ส่งผลให้แสนสิริมียอดขายรวมถึง 50,000 ล้านบาท และยอดโอน (รวมโครงการร่วมทุน) อยู่ที่ 43,700 ล้านบาท โดยสามารถปิดการขาย (Sold Out) ได้ 25 โครงการ มูลค่ารวม 24,000 ล้านบาท จากการเพิ่มสัดส่วนการเปิดตัวโครงการ โดยเฉพาะโครงการแนวราบ รวมทั้งการใช้เงินลงทุนอย่างมีประสิทธิภ าพและรักษาสภาพคล่องให้อยู่ในระดับสูง
ทั้งนี้ จากแผน Strategic Location โดยชู ‘ภูเก็ต’ และ ‘เชียงใหม่’ เป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่สำคัญในการขยายธุรกิจในปีที่ผ่านมา ส่งผลให้แสนสิริสร้างยอดขายในตลาดต่างจังหวัดได้ถึง 10,000 ล้านบาท เติบโตขึ้น 120% โดยเฉพาะ ภูเก็ต ซึ่งเป็นทำเลที่มีการเติบโตสูง ซึ่งแสนสิริยังได้เปิดตัว “The Society” (เดอะ โซไซตี้) โซเชียล สเปซ แห่งแรกของแสนสิริในภูเก็ต ใจกลางย่านบางเทา – เชิงทะเล ซึ่งที่ได้รับความสนใจและเติบโตสูงสุดในภูเก็ตในช่วงปลายปีที่ผ่านมาอีกด้วย