สมาคมเหล็กฯห่วงวิกฤตอุตสาหกรรมเหล็กเผชิญปัจจัยเสี่ยงจากเศรษฐกิจชะลอ สินค้าทุ่มตลาด ต่างชาติยึดฐานผลิต จี้รัฐต่ออายุห้ามตั้งโรงงานใหม่หรือขยายกำลังการผลิต
นายประวิทย์ หอรุ่งเรือง ที่ปรึกษาสมาคมผู้ผลิตเหล็กทรงยาวด้วยเตาอาร์กไฟฟ้า เปิดเผยว่า สถานการณ์อุตสาหกรรมเหล็กในประเทศได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบหลายด้านทั้ง ภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาส่งผลให้ปริมาณการใช้เหล็กลดลง และการเข้ามาทุ่มตลาดสินค้าจากต่างประเทศ จนทำให้ความสามารถในการแข่งขันลดลง
ปัจจุบันปริมาณการใช้เหล็กในประเทศเฉลี่ยอยู่ที่ 16 ล้านตันต่อปี โดยเป็นการนำเข้าเหล็ก 10 ล้านตัน ที่เหลือเป็นการผลิตในประเทศ ซึ่งในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาความต้องการใช้เหล็กมีแนวโน้มลดลงจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัว โครงการที่อยู่อาศัยล้นตลาด ส่วนหนึ่งเป็นผลจากความเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อบ้านจะมีเพียงโครงการของภาครัฐเท่านั้นที่ยังมีการใช้เหล็กเกิดขึ้นใหม่
ด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ก็เป็นตัวสะท้อนจากยอดการผลิตรถยนต์ที่ชะลอตัวลงอย่างมาก จากเดิมเคยผลิตปีละ 1.8 ล้านคัน เหลือปีละ 1.5 ล้านคัน รวมถึงความนิยมของรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่มีส่วนประกอบของเหล็กลดลง และส่วนใหญ่เป็นการนำเข้า ซึ่งปกติรถยนต์สันดาปทั่วไปใช้สัดส่วนของเหล็กอยู่ถึง 70 %
นอกจากนี้ที่ผ่านมายังเจอกับปัญหาการดั้มราคาเหล็กนำเข้าทำให้โรงงานเหล็กทั้งรายใหญ่และรายเล็กทยอยปิดกิจการลง เนื่องจากไม่ได้ใช้กำลังการผลิตเต็มที่ ประกอบกับก่อนหน้านี้มีการอนุญาตให้ตั้งโรงงานผลิตเหล็กเส้นเพิ่มเติมส่งผลให้เกิดกำลังการผลิตส่วนเกิน ซึ่งในช่วง 5 ปี ที่ผ่านมาความเสียหายจากการปิดโรงงานทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็ก มีมูลค่านับหมื่นล้านบาท
“ต้องยอมรับว่าจะทำให้สถานการณ์เหล็กในประเทศโอเวอร์ซัพพลาย ซึ่งได้รับผลกระทบจากการนำเข้าเหล็กส่วนหนึ่ง กับ การผลิตในประเทศที่ล้นตลาดอีกส่วนหนึ่ง กรณีเหล็กเส้นไม่มีผลกระทบจากนำเข้าเพราะมีมาตรการคุมเรื่องมอก. แต่มีปัญหาจากเหล็กเส้นที่ผลิตในประเทศของโรงงานจีน ที่ใช้ระบบเตาไฟฟ้าอินดักชั่นซึ่งก่อมลพิษ สุดท้ายก็ทำอะไรไม่ได้มีการนำเทคโนโลยีนี้มาใช้ทั้งเครื่องจักรเก่าและซื้อใหม่มาตั้งในไทย”
นายประวิทย์ กล่าวว่า ปัจจุบันโรงงานผลิตเหล็กทยอยเลิกกิจการซึ่งเป็นการหยุดผลิต แต่ยังให้เช่าโรงงาน โดยในช่วง 2-3 ปี มีกลุ่มทุนจีนมาขอเช่าใบอนุญาต แต่มีการเปลี่ยนเครื่องจักร ซึ่งตามกฏระเบียบต้องแจ้งให้กรมโรงงานอุตสาหกรรมทราบ ซึ่งภาครัฐต้องเข้าไปตรวจสอบโดยเฉพาะคุณภาพเหล็กอาจไม่ได้มาตรฐาน แม้ว่าจะได้มอก.จากโรงงานที่เช่าไว้ก็ตาม
อย่างไรก็ตามได้เสนอมาตรการบรรเทาผลกระทบอุตสาหกรรมเหล็กไปยังรมว.อุตสาหกรรมหลายแนวทาง ได้แก่ 1.ห้ามตั้งหรือขยายโรงงานเหล็ก เฉพาะประเภทที่มีกำลังการผลิตมากเกินความต้องการใช้ภายในประเทศไทยแล้ว ได้แก่ เหล็กเส้น เหล็กแท่งเล็กสำหรับเหล็กเส้นเสริมคอนกรีต และโรงงานผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อน เป็นต้น
2.ส่งเสริมให้โครงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐใช้สินค้าเหล็กในประเทศที่ผลิตจากโรงงานที่ได้รับการรับรองอุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry) 3.ห้ามส่งออกเศษเหล็กเพื่อสงวนไว้ใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตสินค้าเหล็กในประเทศ 4.การสนับสนุนให้ใช้มาตรการทางการค้าต่างๆ เข้มข้นขึ้นตามสถานการณ์และทันท่วงที