ลุ้นปีนี้ส่งออกอาหารทำนิวไฮตั้งเป้าทะลุ 1.75 ล้านล้าน

ลุ้นปีนี้ส่งออกอาหารทำนิวไฮตั้งเป้าทะลุ 1.75 ล้านล้าน
 3 องค์กรคาดหวังปีนี้ส่งออกอาหารยังทำนิวไฮ แม้ยังเผชิญความเสี่ยงศึกภาษีรอบใหม่จากชาติมหาอำนาจ ชี้สินค้าโดดเด่น อาหารสัตว์เลี้ยง ซอสปรุงรส มะพร้าว ออเดอร์โตต่อเนื่อง

ดร.ศุภวรรณ ตีระรัตน์ ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร เปิดเผยหลังร่วมแถลงความร่วมมือของ 3 องค์กรเศรษฐกิจด้านธุรกิจเกษตรและอาหาร ได้แก่ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย  สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)และสถาบันอาหารถึงสถานการณ์การส่งออกสินค้าอาหารไทยในปี 2567 มีมูลค่า 1,638,445 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.3 ถือเป็นสถิติส่งออกสูงสุดครั้งใหม่ของสินค้าอาหาร

ทั้งนี้มีปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากความต้องการสินค้าอาหารที่เพิ่มขึ้นเพื่อเพิ่มความมั่นคงทางอาหาร หลังจากหลายประเทศเผชิญสถานการณ์ภัยแล้งและฝนทิ้งช่วงทำให้ผลผลิตสินค้าเกษตรลดลง แรงกดดันจากเงินเฟ้อที่คลายตัวลงส่งผลทำให้ผู้บริโภคเชื่อมั่นในการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น เศรษฐกิจในประเทศกำลังพัฒนาและตลาดเกิดใหม่ฟื้นตัว รวมทั้งค่าเงินบาทที่เคลื่อนไหวเฉลี่ยที่ระดับ 35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลทำให้การส่งออกสินค้าอาหารของไทยในปี 2567 ขยายตัวเพิ่มขึ้น

สำหรับกลุ่มสินค้าที่การส่งออกเพิ่มขึ้นและมีอัตราขยายตัวสูง ได้แก่ ข้าว (+25.9%), อาหารสัตว์เลี้ยง (+30.5%), ปลาทูน่ากระป๋อง (+15.5%), ซอสและเครื่องปรุงรส (+10.5%), อาหารพร้อมรับประทาน (+30.2%) และผลิตภัณฑ์มะพร้าว (+29.0%)

ทั้งนี้การส่งออกข้าวของไทยเพิ่มขึ้นเนื่องจากความต้องการนำเข้าข้าวของประเทศคู่ค้าในหลายภูมิภาคเพิ่มขึ้นหลังผลผลิตลดลงจากความแปรปรวนของสภาพอากาศ การส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้นมากตามแนวโน้มการเลี้ยงสัตว์เลี้ยงที่เพิ่มขึ้นทั่วโลกและพฤติกรรมการมองว่าสัตว์เลี้ยงเป็นเหมือนสมาชิกในครอบครัว (Pet Humanization) ทำให้ตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะในกลุ่มอาหารสุขภาพและโภชนาการของสัตว์เลี้ยงเติบโตแบบก้าวกระโดด

ขณะที่การส่งออกสินค้าพร้อมรับประทาน รวมทั้งปลาทูน่ากระป๋อง ซอสและเครื่องปรุงรส ขยายตัวสูง โดยเฉพาะตลาดในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ที่กำลังเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจผันผวนและค่าครองชีพสูง ส่งผลทำให้ผู้บริโภคหันมาให้ความสนใจกับสินค้าที่สร้างความสะดวกรวดเร็วในการบริโภคมากขึ้น

ภาพรวมตลาดส่งออกอาหารไทยในปี 2567 ส่วนใหญ่ขยายตัวเพิ่มขึ้นในระดับสูง ได้แก่ แอฟริกา (+36.0%), ตะวันออกกลาง (+31.9%), โอเชียเนีย (+21.9.0%), สหรัฐอเมริกา (+19.0%) และสหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักร (+16.0%) โดยมีสินค้าส่งออกหลักทั้งในกลุ่มสินค้าเกษตรอาหารจำพวกข้าว กลุ่มอาหารแปรรูปและพร้อมรับประทานที่สะดวกรวดเร็วในการบริโภค เช่น ปลาทูน่ากระป๋อง อาหารพร้อมรับประทาน

ตลอดจนกลุ่มสินค้าวัตถุดิบและเครื่องปรุงอาหารทั้งซอสและเครื่องปรุงรส กะทิและเครื่องแกงสำเร็จรูป สอดรับกับพฤติกรรมการบริโภคภาคครัวเรือนในยุคที่เศรษฐกิจผันผวนและค่าครองชีพสูง

ส่วนตลาดส่งออกอาหารไทยที่หดตัวลง ได้แก่ อาเซียน (-4.1%) และจีน (-6.1%) การส่งออกไปยังกลุ่มประเทศอาเซียนหดตัวลงตามสินค้าน้ำตาลทรายเป็นหลัก ขณะที่การส่งออกไปยังตลาดจีนหดตัวลงตามสินค้าผลไม้สด แป้งมันสำปะหลังดัดแปร (Modified starch) กุ้งสดแช่แข็ง ไก่สดแช่แข็ง และน้ำตาลทราย เป็นต้น

อย่างไรก็ตามการค้าอาหารโลกในปี 2567 ขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยมีมูลค่าการค้า 1,840 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.6 สหรัฐอเมริกา บราซิล เนเธอร์แลนด์ จีน และเยอรมนี เป็นประเทศผู้ส่งออกอาหารอันดับที่ 1 ถึง 5 ของโลก ตามลำดับ

สำหรับประเทศไทยครองอันดับที่ 12 ในการส่งออกอาหารไปยังตลาดโลก อันดับโลกดีขึ้น 2 อันดับจากประเทศผู้ส่งออกอันดับที่ 14 ของโลกในปีก่อน ส่วนแบ่งตลาดอาหารโลกของไทยอยู่ที่ร้อยละ 2.53 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 2.40 ในปีก่อนหน้า

ทั้งนี้ประเทศผู้ส่งออกในภูมิภาคอาเซียนที่โดดเด่น คือ เวียดนามที่มีส่วนแบ่งตลาดอาหารโลกเพิ่มขึ้นมากจากร้อยละ 1.85 เป็นร้อยละ 2.34 ในปี 2567 อันดับโลกของเวียดนามเพิ่มขึ้นจากอันดับที่ 17 เป็นอันดับที่ 16 ของโลก ขณะที่ประเทศอื่นในภูมิภาคส่วนใหญ่ทั้งอินเดียและมาเลเซียมีอันดับและส่วนแบ่งตลาดโลกเพิ่มขึ้น มีเพียงอินโดนีเซียที่มีอันดับและส่วนแบ่งตลาดโลกลดลงตามการส่งออกปาล์มน้ำมัน

ดร.ศุภวรรณ ตีระรัตน์ กล่าวถึง แนวโน้มการส่งออกสินค้าอาหารไทยในปี 2568 คาดว่าจะมีมูลค่า 1,750,000 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.8 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากสถานการณ์วัตถุดิบปรับตัวดีขึ้นกว่าปีก่อน ทั้งผลผลิตมันสำปะหลัง อ้อย สับปะรด และมะพร้าว ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น ส่งผลดีช่วยให้ผู้ผลิตสามารถจัดหาวัตถุดิบได้อย่างต่อเนื่อง

ด้านค่าเงินบาทผันผวนแต่ยังอยู่ในกรอบที่เอื้อต่ออุตสาหกรรมอาหาร โดยแนวโน้มค่าเงินบาทในปี 2568 จะเคลื่อนไหวในช่วง 33-35 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ แข็งค่าในครึ่งปีแรกและคาดว่าจะอ่อนค่าในครึ่งปีหลัง ตามทิศทางดอกเบี้ยขาลงของสหรัฐฯ ประกอบกับผู้ประกอบการไทยมีศักยภาพในการพัฒนาสินค้าที่มีความหลากหลาย ราคาเหมาะสม มีคุณภาพและความปลอดภัย สามารถตอบสนองความต้องการของประเทศคู่ค้าทั่วโลก เป็นปัจจัยหลักที่จะผลักดันการส่งออกอาหารไทยในปี 2568 ให้ขยายตัวเพิ่มขึ้นทำนิวไฮต่อเนื่อง

ส่วนกลุ่มสินค้าที่คาดว่าการส่งออกมีแนวโน้มโดดเด่นในปี 2568 ได้แก่ อาหารสัตว์เลี้ยง ซอสและเครื่องปรุงรส อาหารพร้อมรับประทาน และผลิตภัณฑ์มะพร้าว โดยการส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงมีแรงขับเคลื่อนจากแนวโน้มการเลี้ยงสัตว์เลี้ยงที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก ทั้งในตลาดหลักอย่างสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรป ที่ต้องการผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ สินค้าพรีเมียมและฟังก์ชันนัลเพิ่มมากขึ้น ตลาดที่มีแนวโน้มดี เช่น จีน อินเดีย ที่จะเติบโตได้ในระยะยาว

ขณะที่การส่งออกซอสและเครื่องปรุงรส มีแรงขับเคลื่อนจากความนิยมในอาหารและเครื่องปรุงรสไทยที่เพิ่มขึ้นในต่างประเทศ การขยายตลาดในสหรัฐฯ และการพัฒนาซอสรสชาติที่ตอบสนองต่อพฤติกรรมคนรุ่นใหม่ เช่น ซอสเผ็ด การส่งออกอาหารพร้อมรับประทาน มีแรงขับเคลื่อนจากผู้บริโภคหันมาให้ความสนใจกับความสะดวกรวดเร็วในการบริโภคอาหารในยุคที่เศรษฐกิจผันผวน กอปรกับมีเทคโนโลยีนวัตกรรมช่วยให้คงรสชาติและยืดอายุอาหารได้ดียิ่งขึ้น การส่งออกผลิตภัณฑ์มะพร้าว มีแรงขับเคลื่อนจากเทรนด์สุขภาพ และการขยายตัวของตลาดนมจากพืช (Plant-based milk)

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์อุตสาหกรรมอาหารไทยยังคงมีความเสี่ยงสูงจากปัจจัยแวดล้อมภายนอก โดยเฉพาะนโยบายจัดเก็บภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ (reciprocal tariffs) ของประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ ที่จะดำเนินการกับทุกประเทศที่เห็นว่าได้เปรียบทางการค้ากับสหรัฐฯ ซึ่งมาตรการที่เป็นรูปธรรมจะทราบผลและเริ่มบังคับใช้ในช่วงเดือนเมษายนนี้เป็นต้นไป อุตสาหกรรมอาหารไทยก็มีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบดังกล่าว เนื่องจากอาหารเป็นหนึ่งในสาขาการผลิตที่ทำให้ประเทศไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ในระดับสูง ล่าสุดในปี 2567 ไทยส่งออกสินค้าอาหารไปสหรัฐฯ มูลค่า 172,380 ล้านบาท แต่นำเข้ามูลค่า 44,150 ล้านบาท ไทยเกินดุลการค้าอาหารกับสหรัฐฯ มูลค่า 128,230 ล้านบาท สัดส่วนราวร้อยละ 10 ของยอดเกินดุลการค้ารวมของไทย รองจากอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ และยานยนต์

นอกจากนี้ นโยบายจัดเก็บภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ยังเสี่ยงต่อการเปิดศึกภาษีรอบใหม่ระหว่างชาติมหาอำนาจ ที่จะส่งผลกระทบทำให้เศรษฐกิจและการค้าโลกมีแนวโน้มชะลอตัวจากสงครามการค้าดังกล่าว โดยเฉพาะมาตรการทางภาษีที่ผู้นำสหรัฐฯ จะเริ่มนำมาใช้กับประเทศคู่ค้าในหลายๆ ประเทศ เชื่อว่าจะมีการตอบโต้กันไปมา ท้ายที่สุดจะส่งผลต่อผู้ผลิตและผู้บริโภคที่ต้องรับกับภาวะต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นและลดทอนอำนาจซื้อของผู้บริโภค รวมถึงกระทบต่อเศรษฐกิจจีนและหลายประเทศในเอเชียให้ซบเซาต่อไป ซึ่งจีนและประเทศที่ถูกผลกระทบต้องหาตลาดใหม่ ทำให้ทั่วโลกตกอยู่ในภาวะการแข่งขันรุนแรง เศรษฐกิจและการค้าโลกจึงเสี่ยงต่อการชะลอตัว และส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการผลิตและการค้าอาหารของไทยได้ในที่สุด

 

 

TAGS: #ส่งออกอาหาร #ศึกภาษี #อาหารสัตว์เลี้ยงฅ #ซอสปรุงรส