ปตท.ฝ่าปัจจัยท้าทายผลประกอบการแข็งแกร่งโชว์กำไร 9 หมื่นล้าน

ปตท.ฝ่าปัจจัยท้าทายผลประกอบการแข็งแกร่งโชว์กำไร 9 หมื่นล้าน
ปตท.มั่นใจกลยุทธ์ใหม่มาถูกทางมุ่งธุรกิจหลัก Hydrocarbon กางงบลงทุน 5 ปี  กว่า  5 หมื่นล้านบาท ดับข่าวลือควบรวมบริษัทลูกแค่หาพันธมิตรเสริมทัพโรงกลั่นน้ำมัน-ปิโตรเคมี

ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงกลยุทธ์การดำเนินงานยังมุ่งการเติบโตของธุรกิจอย่างยั่งยืนด้วยการสร้างผลกำไร มีเป้าหมายเพิ่ม EBIDA อีก 3 หมื่นล้านบาทภายในปี  2570 

ทั้งนี้เตรียมงบลงทุนไว้ในระยะ 5 ปี จำนวน 5 หมื่นล้านบาท รองรับกับการบริหารพอร์ตธุรกิจในระยะยาว โดยในปี 2568 จะใช้งบประมาณ 2.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่จะนำไปใช้ในโครงสร้างพื้นฐานรองรับกิจการก๊าซธรรมชาติ และกิจการเทรดดิ้ง  

สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2567ที่ผ่านมายอมรับว่ามีความท้าทายรอบด้าน ทั้งความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ การเติบโตเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง ภาวะเงินเฟ้อ อัตราแลกเปลี่ยนผันผวน ความกังวลต่อนโยบายทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา และแรงกดดันจากอุปสงค์ที่ลดลงและอุปทานที่มากเกินความต้องการในธุรกิจปิโตรเลียมและปิโตรเคมี

ทั้งนี้ปตท.ดำเนินธุรกิจตามกลยุทธ์ใหม่ที่กลับมาเน้นธุรกิจหลัก Hydrocarbon ที่ถนัดและเชี่ยวชาญ ทบทวนกลยุทธ์ Non-Hydrocarbon เน้นธุรกิจที่เกี่ยวข้อง มี Synergy ในกลุ่ม ปตท.โดยยืนยันไม่มีการควบรวม ของบริษัทพีทีที โกลบอล เคมิคอล หรือ PTTGC บริษัทไทยออยล์ หรือ TOP และ บริษัทไออาร์พีซี หรือ IRPC  ตามที่เป็นข่าว เพียงแต่จะมีการหาพันธมิตรใหม่มาเสริมทัพให้ธุรกิจมีความแข็งแรงมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งยังอยู่ในขั้นตอนการเจรจา

นอกจากนี้มุ่งดำเนินธุรกิจบนพื้นฐานการดำเนินธุรกิจตามหลักธรรมาภิบาล โปร่งใส เป็นธรรม และเป็นไปตามหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี ส่งผลให้ ปตท. และบริษัทย่อย ปี 2567 มีกำไรสุทธิ 90,072 ล้านบาท พร้อมจ่ายเงินปันผลสำหรับปี 2567 ที่ 2.10 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัตราผลตอบแทนที่ร้อยละ 6.6 และมีส่วนช่วยภาครัฐในการบริหารจัดการต้นทุนในช่วงที่ราคาพลังงานปรับตัวสูงขึ้นจากสภาวะปกติ เพื่อลดผลกระทบให้แก่ประชาชน โดยมีวงเงินรวม กว่า 2.8 หมื่นล้านบาท

อย่างไรก็ตามผลประกอบการที่แข็งแกร่ง เกิดจากบริหารจัดการและรวมพลังในองค์กร  มีกำไรหลักมาจากธุรกิจ Upstream แม้ได้รับผลกระทบจากนโยบายภาครัฐมาชดเชยกับธุรกิจ Downstream ที่ได้รับความกดดันจากปัจจัยด้านราคา แต่เรื่องสำคัญคือการบริหารต้นทุน และควบคุมค่าใช้จ่ายทั้งกลุ่ม ปตท. รวมถึงการบริหารรายการพิเศษและบริหารผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนและเงินกู้ได้ดี

สำหรับปี 2567 ธุรกิจ Hydrocarbon and Power ซึ่งเป็นธุรกิจหลักที่สร้างผลตอบแทนให้กับ ปตท.ประกอบด้วย การลงทุนในธุรกิจสำรวจและผลิต ผ่านบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (ปตท.สผ.) โดย ปตท.สผ. สามารถปรับเพิ่มกำลังการผลิตก๊าซธรรมชาติโครงการ G1/61 (แหล่งเอราวัณ) จากอ่าวไทยสู่ระดับ 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน และเข้าซื้อหุ้นร้อยละ 10 ในโครงการสัมปทานกาชา (Ghasha Concession Project) หนึ่งในแหล่งก๊าซธรรมชาตินอกชายฝั่งที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ธุรกิจ LNG มีปริมาณการนำเข้า LNG ทั้งสัญญาระยะยาว และสัญญาแบบ Spot รวม 9.6 ล้านตันต่อปี เพื่อรองรับความต้องการพลังงานในประเทศ ธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย สร้างมูลค่าเพิ่ม 110 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากความร่วมมือภายในกลุ่ม

ขณะที่โรงกลั่นได้ปรับการผลิตน้ำมันดีเซลให้ได้มาตรฐานยูโร 5 เพื่อสนับสนุนการแก้ไขปัญหามลพิษจากฝุ่น PM 2.5 ตามนโยบายของภาครัฐ ธุรกิจไฟฟ้า มีกำลังการผลิตเพิ่มเติม (อยู่ระหว่างการก่อสร้าง) รวมทั้งหมด 15 GW โดยหลักมาจากการลงทุนพลังงานหมุนเวียนในต่างประเทศ

ด้านธุรกิจ Non-Hydrocarbon ได้ทบทวนกลยุทธ์ เน้นทำธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับกลุ่ม ปตท. โดย EV ธุรกิจมุ่งเน้นการขยายสถานีชาร์จไฟฟ้าร่วมกับ OR ที่มีความพร้อมของ Ecosystem สำหรับ Life Science เป็นธุรกิจที่ดี แต่ต้องขับเคลื่อนได้ด้วยธุรกิจเอง self-funding มีผู้เชี่ยวชาญ ปีที่ผ่านมารับรู้รายได้จากการจำหน่ายเงินลงทุนในบริษัท Alvogen Malta (Out-licensing) Holding Ltd. มูลค่า 4,500 ล้านบาท ของบริษัท อินโนบิก (เอเซีย) จำกัด สำหรับ Logistics ออกจากธุรกิจไม่สอดคล้องกับ ปตท. มุ่งเน้นที่สามารถต่อยอดและมี Synergy ภายในกลุ่ม ปตท.

นอกจากนี้ ปตท. มีกลยุทธ์สร้างการเติบโตควบคู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก มุ่งสู่ NET ZERO ผ่านแนวทาง C3 ได้แก่ C1 การปรับพอร์ทธุรกิจให้เติบโตควบคู่กับการลดการปล่อยคาร์บอน C2 การปรับปรุงประสิทธิภาพกระบวนการผลิต โดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ และมุ่งเน้นการใช้พลังงานสะอาด C3 ประสานความร่วมมือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีในการลดก๊าซเรือนกระจก ใช้เทคโนโลยีดักจับและกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture and Storage / CCS)

รวมถึงเพิ่มการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ด้วยวิธีทางธรรมชาติผ่านการปลูกป่าเจตนารมณ์ของ ปตท. ในการขับเคลื่อนองค์กรบนพื้นฐานความยั่งยืนอย่างสมดุล เป็นที่ยอมรับทั้งในระดับประเทศและระดับสากล ด้วยผลคะแนนอันดับ 1 ด้านความยั่งยืนอันดับสูงสุดของโลก (Top 1%) ของกลุ่มอุตสาหกรรม Oil & Gas Upstream & Integrated (OGX) ในรายงานประจำปี “The Sustainability Yearbook 2025” จากการประเมินของ S&P Global Corporate Sustainability Assessment (CSA) ประจำปี 2024 และได้รับคัดเลือกเป็นสมาชิกดัชนีความยั่งยืน DJSI เป็นปีที่ 13 ติดต่อกัน เป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ถึงการเดินทางบนความยั่งยืนของ ปตท.

นอกจากนี้ยังเป็นบริษัทเดียวในไทยที่ติดอันดับมูลค่าแบรนด์สูงสุดใน Brand Finance Global 500 และได้รับการจัดอันดับจากนิตยสาร Fortune Southeast Asia 500 ให้เป็นบริษัทชั้นนำอันดับ 1 ของประเทศไทย และอันดับที่ 2 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สะท้อนให้เห็นถึงการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพในทุกมิติอย่างต่อเนื่อง

“ปีนี้ยังคงท้าทาย ปตท. มุ่งมั่นสร้างความมั่นคงทางพลังงาน สร้างการเติบโตควบคู่กับการลดก๊าซเรือนกระจก ต้องสร้างความแข็งแรงภายในองค์กร ลดความเสี่ยง รักษาเสถียรภาพให้กับธุรกิจ พิจารณาการลงทุนด้วยความระมัดระวัง พร้อมดูแลผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วนอย่างสมดุล พร้อมขับเคลื่อนประเทศไทยสู่อนาคตที่ยั่งยืน”

 

TAGS: #ปตท. #Hydrocarbon #ก๊าซธรรมชาติ