"พิชัย" ยันมี.ค.นี้ทันแน่ ออกกองทุนใหม่ Thai ESG รองรับ LTF หวัง กนง.26ก.พ.ลดดอกเบี้ย

“พิชัย” เผย มี.ค.นี้ทันแน่ ออกกองทุนใหม่ใน Thai ESG รองรับ LTF ชี้หารือข้อมูลกับ FETCO แล้ว ส่วนมาตรการจูงใจต้องดูตามความเหมาะสม  หวัง กนง. 26 ก.พ.ลดดอกเบี้ย เพิ่มแรงส่งเศรษฐกิจ

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง  เผย ความคืบหน้าในการออกมาตรการเพื่อสนับสนุนตลาดทุนว่าในเดือน มี.ค.นี้จะมีการออกกองทุนใหม่ที่จะให้มีการโยกกองทุนเพื่อการออมระยะยาว (LTF)  มาอยู่ในกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG) ซึ่งตอนนี้ทุกฝ่ายกำลังเร่งทำงานและจะออกมาได้โดยเร็วซึ่งมีการพูดคุยกันในหลักการหมดแล้ว

สำหรับการหารือกับสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) นั้นได้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลกันอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว ซึ่งการรับฟังข้อมูลจาก FETCO ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีเพราะ FETCO มีสมาชิกอยู่จำนวนมากในวงการตลาดทุนทำให้มีข้อมูลที่จะคุยกันได้อย่างรอบด้าน

“เราก็มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลเพราะอยากรู้ว่ามาตรการที่เรามีการทำไปหลายเรื่อง มีผลการตอบรับอย่างไรซึ่งจะมีการปรับปรุงเพิ่มเติมอยู่เป็นระยะ”นายพิชัย กล่าว  

เมื่อถามว่าต้องมีมาตรการจูงใจอะไรเพิ่มขึ้นหรือไม่ นายพิชัยกล่าวว่าเราก็ทำไปหลายมาตรการ ซึ่งสุดท้ายแล้วก็จะกลับมาที่เรื่องของความเชื่อมั่น ซึ่งเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจของประเทศว่าเป็นอย่างไร ซึ่งมาตรการจูงใจเพิ่มเติมก็ต้องดูตามความเหมาะสม

นายพิชัย กล่าวถึงการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันพุธที่ 26 ก.พ.นี้ว่าทุกประเทศตอนนี้เรื่องของการพิจารณาเรื่องอัตราดอกเบี้ยเป็นเรื่องของการพิจารณาจากเงินเฟ้อ โดยเงินเฟ้อของประเทศไทยถือว่าต่ำอย่างต่อเนื่อง  นอกจากนี้หากเงินเฟ้อลงแล้วสามารถเพิ่มความร้อนแรงทางเศรษฐกิจได้บ้างก็ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีกว่าปีที่แล้ว ปีที่แล้วนั้นตัวเลขเศรษฐกิจขยายตัวได้ 2.5% แต่ว่าในสองไตรมาสแรกของปีนั้นทำอะไรไม่ได้ เมื่อมาดูว่าการเติบโตของเศรษฐกิจนั้นในไตรมาส 3-4 ของปีเป็นเท่าไหร่ แล้วเราทำให้เศรษฐกิจขยายตัวต่อเนื่องได้ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี 

นอกจากนี้ในเรื่องของการลดดอกเบี้ยลงนอกจากการกระตุ้นเศรษฐกิจยังช่วยเศรษฐกิจไทยได้ในเรื่องของการส่งออกเนื่องจากค่าเงินที่อ่อนค่าลงจะเป็นประโยชน์กับประเทศส่งออกโดยขณะนี้ประเทศนั้นค่าเงินถือว่ายังแข็งค่าเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆในภูมิภาค ซึ่งเรื่องนี้ต้องดูย้อนหลังไปก็จะเห็นว่าแนวโน้มค่าเงินของเราแข็งขึ้น ซึ่งค่าของเงินเป็นผลลัพธ์ของมาตรการต่างๆ และเกี่ยวข้องกับความสามารถในการแข่งขัน

“เรื่องนี้ในตอนที่ตนเองเดินทางไปต่างประเทศ ซึ่งล่าสุดที่ไปยังประเทศญี่ปุ่นก็ได้มีการหารือกับรัฐบาลของญี่ปุ่นในเรื่องนี้ซึ่งญี่ปุ่นก็บอกว่าเขาเป็นประเทศส่งออกค่าเงินก็เคยแข็งค่าอยู่นานก็อ่อนค่าลง ซึ่งได้ประโยชน์จากการส่งออก แต่ว่าในเรื่องของการนำเข้าผู้ประกอบการก็ได้รับผลกระทบบ้าง แต่ว่าเศรษฐกิจของเขาก็ฟื้นขึ้นมาได้ ตอนนี้ถ้ามองเรื่องอะไรต้องไม่มองด้านเดียว ต้องมองว่าทำอย่างไรให้มีเงินหมุนเวียนและเหมาะสมกับสถานการณ์” นายพิชัย กล่าว  

นอกจากนั้นในเรื่องของดอกเบี้ยเงินกู้ที่ธนาคารพาณิชย์มีการปล่อยกู้โดยเฉพาะการปล่อยกู้ให้กับเอสเอ็มอี ปัจจุบันในเรื่องนี้มีการกระเตื้องขึ้นในทางเศรษฐกิจ ก็น่าจะมีความยืดหยุ่นในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น นอกจากนั้นในเรื่องของ อัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (LTV ratio) เรื่องนี้ตนเองก็พยายามพูดเช่นกันให้มีการผ่อนคลายมาตรการ ซึ่งคิดว่าเรื่องเหล่านี้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็มีข้อมูลเหล่านี้หมดแล้ว น่าจะมีการใช้ข้อมูลเหล่านี้ในการพิจารณาด้วย

นายพิชัย กล่าวว่าได้มีการหารือกับธปท.และสถาบันการเงินเพิ่มเติมเรื่องของการเพิ่มมาตรการแก้หนี้ครัวเรือน และการปรับโครงสร้างหนี้ ที่มีบางเรื่องที่สามารถที่ปรับโครงสร้างได้อัตโนมัติ ซึ่งเร็วๆนี้จะมีมาตรการออกมาเพิ่มเติม  ซึ่งเรื่องการปรับโครงสร้างหนี้ถือว่าเป็นเป้าหมายในการทำงานที่สำคัญของรัฐบาล 

“เรื่องของการแก้หนี้มีอยู่หลายล้านบัญชี ซึ่งในขณะนี้ก็ต้องดูว่าจะทำอะไรเพิ่มเติมได้ อาจเป็นการลดเลยได้หรือไม่ เพราะลูกหนี้ที่เป็นรายย่อยมากๆก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไร การปรับโครงสร้างหนี้ในส่วนนี้เป็นเรื่องวิธีการในการจะปรับแต่หลักการยังเหมือนเดิม”นายพิชัย กล่าว

TAGS: #กนง #พิชัยชุณหวชิร #ThaiESG #LTF #ดอกเบี้ย