"ดร.ทิม ลีฬหะพันธุ์" ให้ความเห็นว่าต้องรอ 3 คำตอบการเมือง ว่าจะมีผลกับการลงทุนและเศรษฐกิจของประเทศไทยได้ชัดมากขึ้น
ดร.ทิม ลีฬหะพันธุ์ นักเศรษฐศาสตร์ ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด เปิดเผยว่า นโยบายเศรษฐกิจทุกพรรคการเมือง เน้นเรื่องการกระตุ้นการบริโภคในประเทศ ทั้งการให้เงินและสวัสดิการต่างๆ ซึ่งสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจไทยในช่วงขณะนี้ ที่การฟื้นตัวยังไม่แข็งแรง จากการผลกระทบความผันผวนเศรษฐกิจโลก ทำให้การส่งออกของไทยขยายตัวติดลบ
อย่างไรก็ตามนโยบายเศรษฐกิจของพรรคการเมืองต่างๆ ที่ประกาศไว้ จะทำได้หรือไม่ ยังต้องรอว่ารัฐพรรคไหนจะได้เป็นรัฐบาล และพรรคไหนจะได้เป็นนายกรัฐมนตรี บริหารเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งคาดว่ากว่านโยบายเศรษฐกิจที่ประกาศไว้จะเริ่มใช้ได้ ก็ต้นปีหรือกลางปี 2567
นอกจากนี้ ดร.ทิม ยังมองว่า นโยบายเศรษฐกิจต่างที่พรรคการเมืองหาเสียงไว้ เมื่อได้มาเป็นรัฐบาล และจะใช้จริงต้องมีการปรับเปลี่ยนตามที่นักวิชาการเสนอแนะ และให้สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจขณะนั้น เพื่อให้นโยบายออกมาเป็นประโยชน์กับเศรษฐกิจสูงสุด
ดร.ทิม กล่าวว่า ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด มีมุมมองการเมืองเป็นกลาง โดยมีจุดยืนการให้ความเห็นที่มีผลกับการลงทุนและเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยธนาคารมองว่า การเมืองไทยก่อนการเลือกตั้งยังเดินหน้าไปได้โดยไม่มีปัญหาอะไร
อย่างไรก็ตาม หลังการเลือกตั้งวันที่ 14 พ.ค. 2566 ธนาคารมี 3 คำถาม ที่คาดว่าภายใน 2 เดือน จะได้รับคำตอบและสามารถประเมินการเมืองที่มีผลกระทบกับการลงทุนและเศรษฐกิจของประเทศมากขึ้น โดย 3 คำถามนั้น ประกอบด้วย
1 รัฐบาลชุดใหม่ จะเป็นรัฐบาลที่เสียงมากขาดขนาดไหน หรือเป็นรัฐบาลที่มีเสียงปริมน้ำ
2 พรรคแกนนำที่จัดตั้งรัฐบาล เป็นพรรคที่ได้รับเลือกโดยมีคะแนนเสียงมากหรือไม่
และ 3 นายกรัฐมนตรีคนใหม่ จะมาจากพรรคที่ได้รับเลือกเสียงมากหรือไม่
"ผมคิดว่าทั้ง 3 คำถาม เป็นเรื่องที่ต้องรอคำตอบภายใน 2 เดือน หลังจากนั้นจึงสามารถมาดูกันอีกครั้งว่า การเมืองของไทยจะมีผลกระทบกับการลงทุนและเศรษฐกิจของประเทศอย่างไรได้ชัดเจนมากขึ้น" ดร.ทิม กล่าว