ศูนย์วิจัยกสิกรไทยฯมองธุรกิจถ่านหินดีมานด์ลดลง ถูกกดจากข้อจำกัดผลกระทบสิ่งแวดล้อม ส่งผลการใช้ภาคอุตสาหกรรมและเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้าไม่ขยายตัว
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองธุรกิจถ่านหินไทยในปี 2568 ว่า คาดการณ์ปริมาณการจำหน่ายถ่านหินของผู้ประกอบการไทย ในตลาดต่างประเทศคาดว่าจะอยู่ที่ 38.5 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 0.3% จากปีก่อนหน้า ซึ่งขยายตัวเล็กน้อยโดยได้รับแรงสนับสนุนจากความต้องการที่ยังคงเพิ่มสูงขึ้นในอินเดียและอาเซียน
ขณะที่ปริมาณถ่านหินที่จำหน่ายในไทยจะลดลง 1.2% ในปี 2568 มาอยู่ที่ 5.04 ล้านตัน เนื่องจากความต้องการในภาคอุตสาหกรรมจะลดลง 5% จากภาคการผลิตที่ยังคงอ่อนแอ และกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้น ส่วนภาคการผลิตไฟฟ้า ขยายตัวเล็กน้อย 0.4% ตามความต้องการใช้ไฟที่เติบโต
ทั้งนี้รายได้รวมจากการขายถ่านหินของผู้ประกอบการไทย จะลดลง 4.5% เนื่องจากราคาขายถ่านหินเฉลี่ยมีแนวโน้มปรับตัวลงจากปีก่อนหน้า โดยรายได้จากการขายในตลาดต่างประเทศ และในไทยคาดว่าจะลดลง 4.3% และ 5.7% ตามลำดับ
ด้านสถานการณ์ตลาดถ่านหินต่างประเทศ นั้น ในสัดส่วน 88% ของธุรกิจถ่านหินไทยเป็นการจำหน่ายในตลาดต่างประเทศ โดยจะขายถ่านหินจากเหมืองในประเทศอินโดนีเซียเป็นหลัก และประเภทถ่านหินจัดจำหน่ายส่วนมากเป็นถ่านหินที่ให้พลังงานความร้อนไม่เกิน 6,100 กิโลแคลอรีต่อกิโลกรัม ปริมาณถ่านหินที่จำหน่ายในตลาดต่างประเทศคาดว่าจะเติบโตเล็กน้อย
อย่างไรก็ตามปริมาณการจำหน่ายถ่านหินของผู้ประกอบการไทย ในตลาดต่างประเทศคาดว่าจะอยู่ที่ 38.5 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 0.3% จากปีก่อนหน้าตามอุปสงค์โลกที่ยังคงเติบโตเล็กน้อยที่ 0.4% โดยได้รับแรงสนับสนุนจากความต้องการที่ยังคงเพิ่มสูงขึ้นในอินเดียและอาเซียน ขณะที่ความต้องการถ่านหินในจีน ซึ่งเป็นตลาดหลักของโลกมีแนวโน้มทรงตัวอยู่ที่ 4.94 พันล้านตัน
ด้านความต้องการใน EU มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องจากการใช้พลังงานหมุนเวียนที่เพิ่มมากขึ้น รวมไปถึงความต้องการในสหรัฐฯ ที่ปรับตัวลดลงเช่นกัน แม้ว่าในปี 2568 จะมีการกลับมาใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลมากขึ้น จากนโยบายด้านพลังงานของ โดนัลด์ ทรัมป์ แต่ถ่านหินอาจไม่ได้รับแรงหนุนมากนักเนื่องจากมีสัดส่วนการใช้งานเพียงแค่ 1% ของภาคการผลิตไฟฟ้าทำให้การสนับสนุนคาดว่าจะมุ่งเน้นไปที่ก๊าซธรรมชาติเป็นหลัก
สำหรับตลาดถ่านหินในประเทศไทยในปี 2568 ปริมาณถ่านหินที่จำหน่ายในไทยคาดว่าจะลดลง 1.2% มาอยู่ที่ 5.04 ล้านตัน จากความต้องการใช้งานในภาคอุตสาหกรรมที่ลดลง แม้ในภาคผลิตไฟฟ้าจะเติบโตเล็กน้อย โดยอุปสงค์ถ่านหินจากภาคอุตสาหกรรมในไทยคาดว่าจะลดลงราว 5% จากปีก่อนหน้า ตามกิจกรรมการผลิตที่ยังคงอ่อนแอ และกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้น โดยกิจกรรมการผลิตที่อ่อนแอ เป็นผลมาจากการแข่งขันที่เพิ่มสูงขึ้นจากการเข้ามาของสินค้าจีน ทั้งตลาดในประเทศ และส่งออก ส่งผลให้ อุตสาหกรรมผลิตปูนซีเมนต์ ซึ่งมีสัดส่วนการใช้ถ่านหินในกระบวนการผลิตมากถึง 60% ของอุปสงค์ถ่านหินโดยรวมในภาคอุตสาหกรรม ยังไม่มีแนวโน้มฟื้นตัว
นอกจากนี้กฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มข้นขึ้น โดยเฉพาะมาตรการเก็บภาษีคาร์บอนข้ามพรมแดนจากยุโรป (CBAM) ก็มีส่วนผลักดันให้ผู้ผลิตสินค้าส่งออกลดปริมาณการใช้ถ่านหินลงด้วยเช่นกัน
สำหรับภาคการผลิตไฟฟ้าอุปสงค์ถ่านหินมีแนวโน้มขยายตัวเล็กน้อยที่ราว 0.4% จากปีก่อนหน้าตามความต้องการใช้ไฟที่เติบโต และเพื่อควบคุมต้นทุนการผลิตไฟฟ้า โดยในปี 2568 ความต้องการใช้ไฟคาดว่าจะโตราว 1.4% ทำให้ความต้องการถ่านหินเพิ่มขึ้นตาม เนื่องจากมีต้นทุนการผลิตไฟฟ้าเฉลี่ยอยู่ที่เพียง 2.45 บาทต่อหน่วย ต่ำกว่าก๊าซธรรมชาติซึ่งเป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้าหลักราว 36%
อย่างไรก็ตาม ปริมาณก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยที่จะสามารถกลับมาผลิตได้เต็มกำลังตลอดปี 2568 อาจมีผลจำกัดการขยายตัวของอุปสงค์ถ่านหินให้อยู่ในระดับต่ำ โดยรายได้รวมจากการขายถ่านหินของผู้ประกอบการไทย คาดว่าจะลดลง 4.5% จากราคาขายถ่านหินเฉลี่ยที่ปรับลดลง และความต้องการถ่านหินภายในประเทศที่หดตัว
ทั้งนี้ราคาขายถ่านหินเฉลี่ยของผู้ประกอบการไทยในปี 2568 คาดว่าจะอยู่ที่ 93.9 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อตัน ลดลง 5% จากปีก่อนหน้า ตามภาวะการชะลอตัวของอุปสงค์ถ่านหินโลก ส่งผลให้ รายได้จากการขายในตลาดต่างประเทศ คาดว่าจะอยู่ที่ 122,648 ล้านบาท ขณะที่ รายได้จากการขายในไทย คาดว่าจะอยู่ที่ 16,044 ล้านบาท ลดลง 4.3% และ 5.7% ตามลำดับ
สำหรับความเสี่ยงของอุตสาหกรรมถ่านหินไทยในระยะกลางถึงยาว พบว่าความต้องการใช้ถ่านหินในไทยมีแนวโน้มลดลงจากร่างแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าในระยะยาวของไทย (PDP 2024) ที่มุ่งเน้นการใช้พลังงานทดแทน โดยมีแผนการลดปริมาณการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินเหลือเพียง 7% ของปริมาณการผลิตไฟฟ้าในปี 2580 จากที่อยู่ราว 14% ในปี 2567 ในขณะเดียวกันสัดส่วนพลังงานสะอาดจะเพิ่มขึ้นเป็น 51% จากปัจจุบันที่ 22%
นอกจากนี้ภาคอุตสาหกรรมไทยมีแนวโน้มใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงพลังงานลดลง เนื่องจากพ.ร.บ. Climate Change และกฎระเบียบการค้าโลกด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้น โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับการส่งออกไปยัง EU ซึ่งมีการใช้มาตรการ CBAM ที่มีผลกระทบโดยตรงต่ออุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ ซึ่งกำลังเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้พลังงานสะอาดในการผลิต (Low carbon cement)
ด้านตลาดต่างประเทศ ความต้องการถ่านหินในตลาดโลกมีทิศทางปรับตัวลดลงจากกระแสรักษ์โลก โดยเฉพาะคู่ค้าหลักอย่างจีน ที่หันไปพึ่งพาพลังงานทดแทนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งภายในปี 2603 จีนตั้งเป้าหมายเพิ่มการใช้พลังงานสะอาดโดยเฉพาะพลังงานลมและแสงอาทิตย์ ให้มีสัดส่วนเป็น 80% ของการผลิตพลังงานทั้งหมด ในขณะที่ลดจำนวนการใช้ถ่านหินเหลือเพียง 5% ทั้งนี้ หากมีเทคโนโลยีพลังงานทางเลือกสะอาดที่มีต้นทุนใกล้เคียงและมีคุณสมบัติในการให้พลังงานเทียบเท่ากับถ่านหิน อาจส่งผลให้ความต้องการใช้ถ่านหินลดหายไปในระยะยาว