ดัชนีเชื่อมั่นฯปรับลดทุกรายการ ห่วงเศรษฐกิจไม่ฟื้นตัว ค่าครองชีพสูง การเมืองไม่นิ่ง และสงครามการค้า ขณะที่มาตรการกระตุ้นยังไม่คึกคักเท่าที่ควร
รศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวลดลงทุกรายการเป็นครั้งแรกในรอบ 5 เดือน เนื่องจากผู้บริโภคมีความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าจากนโยบาย Trump 2.0 (ทรัมป์2.0)ส่งผลให้ตลาดหลักทรัพย์ของไทยและทั่วโลกปรับตัวลดลง แม้ว่ารัฐบาลจะออกมาตราการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลแต่ผู้บริโภครู้สึกว่าเศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวได้ช้า
ทั้งนี้ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคของผู้บริโภค (Consumer Confidence Index: CCI) ปรับตัวลดลงจากระดับ 59.0 เป็น 57.8 เป็นปรับตัวลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 5 เดือน การที่ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคโดยรวมยังคงเคลื่อนไหวคงอยู่ต่ำกว่าระดับ 100 แสดงให้เห็นว่า ผู้บริโภคยังคงเห็นว่าสถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวมยังคงฟื้นตัวช้า และค่าครองชีพสูง ตลอดจนปัญหาสงครามการค้าที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น ยังคงมีโอกาสบั่นทอนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทั้งในปัจจุบันและในอนาคตได้อย่างต่อเนื่องในระยะอันใกล้นี้
สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสหางานทำโดยรวม และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตอยู่ที่ระดับ 51.5 55.2 และ 66.7 ตามลำดับ ปรับตัวลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 5 เดือน โดยปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับดัชนีในเดือนมกราคม ที่อยู่ในระดับ 52.6 56.2 และ 68.1 ตามลำดับ
ขณะที่ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในปัจจุบันปรับลดลงจากระดับ 42.4 เป็น 41.7 ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นในอนาคตปรับตัวลดลงจากระดับ 67.0 มาอยู่ที่ระดับ 65.6 การที่ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคกลับมาปรับตัวลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 5 เดือน แสดงว่า ผู้บริโภคอาจเริ่มมีความเชื่อมั่นของบริโภคลดลงได้ในอนาคตหากสงครามการค้ารุนแรงขึ้นและเศรษฐกิจไม่สามารถจะกลับมาฟื้นตัวดีขึ้นได้อย่างรวดเร็วภายใต้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล
“ค่าดัชนีความเชื่อมั่นพลิกลดลงเป็นสัญญาณเตือนภัย ถึงความกังวลของผู้บริโภค โดยมองว่าเศรษฐกิจฟื้นตัวช้า แม้มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากการแจกเงินผู้สูงอายุ และ มาตรการลดหย่อนภาษี Easy E-Receipt ซึ่งมีเงินเข้ามาในระบบประมาณ 3-5 หมื่นล้านบาทก็ตาม รวมถึงผลกระทบจาก สงครามการค้า และความไม่นิ่งของสถานการณ์การเมือง ในอนาคต”